จบ ‘Harvard’ ก็ไม่รอด เดินเตะฝุ่นหลายเดือน ‘มหาลัยชื่อดัง’ ไม่ใช่ใบเบิกทางอีกต่อไป?

ชื่อเสียงมหาวิทยาลัยที่เคยเป็นดั่ง ‘ใบเบิกทาง’ สู่โอกาส กำลังถูกลดความสำคัญลงหรือไม่ เมื่อบัณฑิต Harvard ก็ยังหางานยาก โลกกำลังถูกดิสรัปด้วย AI และเทคโนโลยีต่างๆ อย่างไม่เคยมีมาก่อน ผู้จบการศึกษา MBA ไม่น้อยเผชิญความท้าทาย และตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าของปริญญาใบนี้
เดิมทีนั้น “ชื่อมหาวิทยาลัยดัง” มักจะเป็น “ใบเบิกทาง” ไปสู่อาชีพเงินดี หลายคนจึงพยายามดิ้นรนเพื่อสอบติดมหาวิทยาลัยชั้นนำ หรือถึงขึ้นไปเรียนต่อเมืองนอก
แต่ในปัจจุบัน ภาพดังกล่าวอาจไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว เพราะแม้แต่เด็กจบใหม่จากมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าของโลกอย่าง “Harvard Business School” ก็ยังเดินเตะฝุ่นเป็นเวลาหลายเดือน อีกทั้งการหางาน นับวันก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อย ๆ
ข้อมูลจาก Harvard Business School ระบุว่า 23% ของนักศึกษาวิชาบริหารธุรกิจ (MBA) ที่จบการศึกษาเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา “ยังคงว่างงานอยู่” หลังจากเรียนจบไปแล้ว 3 เดือน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 20% ในปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นจาก 10% ในปี 2022
คริสเตน ฟิตซ์แพทริก หัวหน้าฝ่ายพัฒนาอาชีพและศิษย์เก่าสัมพันธ์ของ Harvard Business School กล่าวว่า “แม้จบการศึกษาจาก Harvard ก็ตาม แต่ปัจจุบัน ตลาดแรงงานมีการแข่งขันสูงมาก การมีเพียงชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยอาจไม่เพียงพอที่จะสร้างความแตกต่าง คุณจำเป็นต้องมีทักษะที่โดดเด่นด้วย”
ไม่ใช่เฉพาะ MBA Harvard ที่บัณฑิตจบใหม่เจออุปสรรคในการหางาน หลายสิบหลักสูตร MBA ระดับแนวหน้า รวมถึง Wharton School ของมหาวิทยาลัย Pennsylvania, Stanford Graduate School of Business รวมถึง Stern School of Business ของมหาวิทยาลัย New York มีผลลัพธ์ด้านการหางานที่แย่ที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
โรนิล ดิโยรา จากเมืองสุรัต ประเทศอินเดีย ซึ่งได้รับปริญญา MBA จาก Darden School of Business แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียได้เผยเรื่องราวผ่านหนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัลว่า ตัวเองมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนสายอาชีพจาก “งานด้านการผลิต” ไปสู่ “ด้านเทคโนโลยี”
ดิโยราในวัย 30 ปีเล่าว่า หลังจบการศึกษา เขาได้ส่งใบสมัครงานไปแล้วกว่า 1,000 ตำแหน่ง และยังได้เข้าร่วมกิจกรรมเครือข่ายในซานฟรานซิสโกด้วย แต่ก็ยังไม่พบงานที่ตรงตามเป้าหมาย จึงเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า อาจประมาทเกินไปหรือไม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนอุตสาหกรรม
“ลองถามผมอีกครั้งในอีกสองปี” ดิโยรากล่าว เมื่อถูกถามว่าปริญญาโทของเขาที่ได้คุ้มค่าหรือไม่
ตามการวิเคราะห์ข้อมูลมหาวิทยาลัยโดยเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล พบว่า สัดส่วนของนักศึกษา MBA ปี 2024 “ที่ยังคงหางานอยู่” หลังจากสำเร็จการศึกษาหลายเดือน “เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า” ในโรงเรียนธุรกิจชั้นนำส่วนใหญ่ เมื่อเทียบกับปี 2022
ยิ่งไปกว่านั้น ในบางแห่ง เช่น Booth School ของมหาวิทยาลัย Chicago และ Kellogg School ของมหาวิทยาลัย Northwestern สัดส่วนของนักศึกษาที่ยังคงหางานอยู่ “เพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่า”
กลายเป็นคำถามว่า “หลักสูตร MBA” ยังคงตอบโจทย์ตลาดแรงงานในปัจจุบันอยู่หรือไม่
แห่ลดการจ้างพนักงานเพิ่ม
ในปัจจุบัน Amazon, Google และ Microsoft ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก ต่างลดการหาพนักงานที่เป็นบัณฑิต MBA ลง เช่นเดียวกับบริษัทที่ปรึกษา ตัวอย่างเช่น บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ McKinsey ลดการจ้างบัณฑิต MBA จากโรงเรียนธุรกิจ Chicago Booth เหลือเพียง 33 คน จาก 71 คนในปีก่อนหน้า ตามข้อมูลจากโรงเรียนธุรกิจฯ
ส่วน Google และ Amazon ระบุว่า ยังคงสรรหาบัณฑิต MBA อยู่ แต่จำนวนการจ้างงานขึ้นอยู่กับความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ Microsoft แจ้งว่า ได้ลดการจ้างบัณฑิต MBA ลงเล็กน้อย
เจนนี่ เซนเนอร์ ผู้อำนวยการอาวุโสของศูนย์อาชีพแห่งโรงเรียนธุรกิจ Darden แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียสังเกตเห็นว่า การจ้างงานในภาคเทคโนโลยีได้ “ลดลง” ในกลุ่มหลักสูตร MBA โดยที่ Darden มีบัณฑิต 10% ที่ยังไม่ได้งานภายใน 3 เดือนหลังจบการศึกษา ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 5% ในปี 2023
เธอกล่าวต่อว่า ตอนนี้ คนที่ทำอาชีพสรรหาบุคลากรด้านเทคโนโลยีตกงานไม่น้อย และบริษัทต่าง ๆ ได้ลดขนาดโครงการฝึกงานของตน ซึ่งได้เปลี่ยนวิธีการจ้างงานจากบัณฑิตมหาวิทยาลัยไปโดยสิ้นเชิง
“บริษัทต่าง ๆ กำลังบอกกับเราว่า จะไม่มาที่มหาวิทยาลัยอีกต่อไปแล้ว” เซนเนอร์กล่าวเสริม
ได้งานแล้ว ก็ถูกเลื่อนได้
ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจฝืดเคือง บัณฑิต MBA ที่เพิ่งจบใหม่ไม่น้อย ยอมรับงานสัญญาจ้างชั่วคราวไปก่อนระหว่างการหางานถาวร ส่วนบัณฑิตที่ได้งานแล้วก็พบว่า วันเลื่อนงานกลับถูกเลื่อนได้ด้วย
อีเว็ตต์ อังกีอาโนเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ได้รับข้อเสนองานจากบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ EY-Parthenon หลังจากฝึกงานช่วงฤดูร้อนระหว่างที่เธอยังเป็นนักศึกษาที่ Kellogg School โดยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เธอย้ายไปที่เมืองซีแอตเทิลเพื่อเริ่มงาน แต่กลับพบว่า กำหนดวันเริ่มงานนั้นถูกเลื่อนออกไปเป็นเดือนมิถุนายน 2025
“ฉันรู้สึกสิ้นหวังมาก” เธอกล่าว “ฉันพยายามทำทุกอย่างให้ถูกต้องแล้ว”
MBA ควรถึงคราวปรับเปลี่ยน?
นอกจากประเด็นจำนวนผู้จบ MBA ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลกแล้ว อีกประเด็นคือ ธุรกิจหลายประเภทกำลังถูกดิสรัปต์ด้วยเทคโนโลยี หลังการระบาดโควิด-19 เป็นต้นมา บริษัทต่าง ๆ แห่ปรับตัวขนานใหญ่ด้วยการลดต้นทุนให้ต่ำลง หันไปใช้ระบบอัตโนมัติแทนมนุษย์ การทำงานระยะไกล ไปจนถึงการจ้างบุคลากรภายนอกมากขึ้นแทน
ยิ่งไปกว่านั้น คลื่นยักษ์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เข้ามาปฏิวัติในเกือบทุกแวดวงอุตสาหกรรม ประกอบกับโลกแห่งการเรียนรู้ได้ขยายตัวนอกเหนือจากในมหาวิทยาลัยแล้ว ความรู้ต่าง ๆ สามารถแสวงหาผ่านอินเทอร์เน็ต จึงอาจทำให้ในปัจจุบัน หลายสายงานกำลังต้องการความรู้เฉพาะทางมากขึ้น โดยเฉพาะทักษะด้าน STEM อันได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) มากกว่าความรู้ทางธุรกิจทั่วไปเพียงอย่างเดียว จนกลายเป็นความท้าทายของหลักสูตร MBA ในปัจจุบัน
ด้านอีลอน มัสก์ (Elon Musk) มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกและเป็นเจ้าของบริษัทนวัตกรรมต่าง ๆ ให้มุมมองต่อหลักสูตร MBA ว่า ผู้บริหารที่จบ MBA อาจโฟกัสอยู่กับตัวเลขและการนำเสนอมากเกินไป จนละเลยด้านตัวสินค้า ซึ่งผู้บริหารควรถอยห่างจากสเปรดชีตและห้องประชุม และเข้าสู่พื้นโรงงานให้มากขึ้นแทน
มัสก์เสริมต่อว่า มีหลักสูตร MBA ของสหรัฐมากมายซึ่งผมคิดว่ายังไม่ดีเท่าที่ควร บริษัทควรให้ความสำคัญกับ “ตัวผลิตภัณฑ์” หรือ “บริการ” ให้มากขึ้น โดยใช้เวลาในการประชุมบอร์ดและถกเถียงเรื่องการเงินให้น้อยลง