สรุป 5 ประเด็นสำคัญในดาวอส ‘ทรัมป์’ ติ EU ขู่แคนาดา โวจบสงครามด้วยราคาน้ำมัน

สรุป 5 ประเด็นสำคัญในดาวอส ‘ทรัมป์’ ติ EU ขู่แคนาดา โวจบสงครามด้วยราคาน้ำมัน

ดาวอสเดือด! ทรัมป์ขู่พันธมิตรทั้งแคนาดา และสหภาพยุโรป (อียู) ย้ำจะไม่ยอมขาดดุล จะขึ้นภาษีต่อไป แนะแคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐ จะได้ไม่โดนเก็บภาษี ชี้อียูจ้องโจมตีบิ๊กเทคอเมริกัน แถมโว จะยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ด้วยการลดราคาน้ำมัน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานต่างประเทศครั้งแรกในการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 โดยปรากฏตัวในการประชุมผ่านไลฟ์สตรีมในการประชุมสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

สุนทรพจน์ของทรัมป์ เมื่อวันพฤหัสบดี (23 ม.ค.) มาในรูปแบบของการต่อต้านทางการทูต โดยขู่ขึ้นภาษีคู่แข่ง รวมถึงพันธมิตรอย่างสหภาพยุโรป (อียู) และแคนาดา

5 ประเด็นสำคัญที่ทรัมป์ปราศรัยในดาวอสมี ดังนี้

ใช้กลยุทธ์ ‘ขู่’ ไม่ลงทุนในสหรัฐ อาจเจอภาษีโหด

ทรัมป์เรียกร้องบรรดาธุรกิจชั้นนำทั่วโลกให้เข้าไปตั้งอุตสาหกรรมในสหรัฐ โดยบอกว่าตนมีแผนลดหย่อนภาษีและลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ธุรกิจเติบโต

“ข้อความของผมสื่อต่อทุกธุรกิจทั่วโลกเข้าใจได้ง่ายๆ แค่มาผลิตสินค้าในอเมริกา คุณจะได้ภาษีระดับต่ำกว่าใครในโลกนี้ แต่ถ้าคุณไม่มาผลิตสินค้าในอเมริกา นั่นเป็นสิทธิของคุณ คุณก็จะต้องจ่ายภาษีในอัตราที่แตกต่างกัน”

ทรัมป์ยังได้เสนอวิสัยทัศน์เศรษฐกิจแบบไหลริน (Trickle-downEconomics) ซึ่งเป็นแนวคิดที่เชื่อว่าการดำเนินนโยบายเอื้อคนรวย จะช่วยให้ภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้นตามลำดับ และความเจริญรุ่งเรืองของสหรัฐจะส่งผลดีต่อทั้งโลก

“ว่ากันว่ามีแสงสว่างส่องไปทั่วโลกนับตั้งแต่เลือกตั้ง และแม้แต่ประเทศที่เราไม่ได้เป็นมิตรด้วยยังมีความสุข เพราะพวกเขาเข้าใจว่าอนาคตมันจะดีแค่ไหน” และว่า “ภายใต้การนำของเรา อเมริกากลับมาแล้ว และเปิดรับธุรกิจ”

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์เตือนว่า อาจใช้มาตรการภาษีต่อธุรกิจที่ปฏิเสธลงทุนในวิสัยทัศน์แห่งความสำเร็จของสหรัฐ และก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้ขู่จะขึ้นภาษีจีน ยุโรป เม็กซิโกและแคนาดา

ทรัมป์วิจารณ์อียูเดือด

สุนทรพจน์ในดาวอส ปธน.สหรัฐเน้นตำหนิยุโรปเป็นพิเศษ โดยกล่าวโทษเรื่องกฎระเบียบที่ยุ่งยาก และการโจมตีธุรกิจสหรัฐของยุโรป ซึ่งทรัมป์ได้ยกตัวอย่างคดีต่อต้านการผูกขาดล่าสุดที่เกิดขึ้นต่อบรรดาบิ๊กเทคสหรัฐ

“พวกเขาดำเนินคดีกับแอปเปิ้ล และพวกเขาก็อ้างว่าชนะคดีที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดว่าเป็นคดีใหญ่โตอะไร พวกเขาได้เงินไปหลายพันล้านดอลลาร์จากกูเกิล ผมคิดว่าเขากำลังจะหาเงินจากเฟซบุ๊กอีกหลายพันล้านดอลลาร์”

ทรัมป์บอกว่าคดีเหล่านั้นมีแรงจูงใจมาจากการที่บริษัทเหล่านั้นเป็นธุรกิจสัญชาติอเมริกัน

ทั้งนี้ สหรัฐเป็นพันธมิตรการค้ารายใหญ่สุดของสหภาพยุโรป (อียู) และในปี 2565 สหรัฐขาดดุลการค้ากับอียูที่มี 27 ชาติที่ระดับ 1.31 แสนล้านดอลลาร์

ข้อมูลจากสำนักสถิติสหรัฐ ระบุว่า สหรัฐส่งออกสินค้าไปอียูเป็นมูลค่า 5.92 แสนล้านดอลลาร์ และนำเข้าสินค้าจากอียู 7.23 แสนล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าการขาดดุลไม่ได้เป็นสัญญาณสำคัญของปัญหา เนื่องจากความไม่สมดุลทางการค้าเกิดได้จากหลายปัจจัย  รวมถึงความแตกต่างของค่าเงิน และพฤติกรรมการใช้จ่ายผู้บริโภค แต่ทรัมป์มองว่าการขาดดุลการค้าเป็นสัญญาณของความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ และเขาให้คำมั่นจะจัดการปัญหานี้ เหมือนที่ให้คำมั่นในตอนที่ดำรงตำแหน่งปธน.สมัยแรก

“จากมุมมองของอเมริกา อียูปฏิบัติต่อเราอย่างไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง แย่มาก พวกเขาไม่ซื้อผลิตภัณฑ์การเกษตรของเรา และไม่ซื้อรถยนต์ของเรา แต่พวกเขาส่งรถยนต์มาให้เราหลายล้านคัน พวกเขาเก็บภาษีสินค้าเหมือนที่เราจะทำ”

อยู่กับพี่ ‘ไม่ต้องเสียภาษี’

ก่อนการประชุมที่ดาวอสทรัมป์ออกมาเผยว่า ต้องการขยายดินแดนสหรัฐในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และเปรยว่าจะเข้าครอบครองคลองปานามากับซื้อกรีนแลนด์ ทั้งยังเคยพูดถึงแคนาดาให้เข้ารวมเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐด้วย โดยเอ่ยย้ำบ่อยครั้งว่าอยากให้แคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐ

ในการประชุมดาวอส ทรัมป์กล่าวว่า

“เราขาดดุลกับแคนาดามหาศาลและเราจะไม่ประสบปัญหานี้อีกต่อไป เราจะไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้น”

ตามข้อมูลของทางการสหรัฐ ระบุว่า แคนาดาเป็นผู้ซื้อสินค้าสหรัฐรายใหญ่ที่สุดในปี 2565 คิดเป็นมูลค่า 3.565 แสนล้านดอลลาร์ โดยคาดว่ามีสินค้าและบริการผ่านชายแดนสหรัฐ-แคนาดา 2.7 พันล้านดอลลาร์ต่อวันในปี 2566

เมื่อไม่นานมานี้ทรัมป์จึงประกาศขึ้นภาษีสูงกับสินค้านำเข้าจากแคนาดา เพื่อกดดันให้เพื่อนบ้านแก้ไขปัญหาการค้ายาเสพติดและการอพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย

และในดาวอสทรัมป์ได้แนะทางเลือกอีกทางให้แคนาดา

“คุณอาจทราบดีอยู่แล้ว ผมบอกไปว่า คุณสามารถเป็นรัฐได้เสมอ และถ้าคุณเป็นรัฐของเรา เราก็จะไม่ขาดดุล เราจะไม่ต้องเรียกเก็บภาษีจากคุณ’” ทรัมป์กล่าวถึงแคนาดา

อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า ภาษีศุลกากรอาจส่งผลเสีย เนื่องจากประเทศอื่นอาจตอบโต้สหรัฐด้วยภาษีเช่นกัน และผู้บริโภคจะเป็นคนที่ต้องแบกรับต้นทุนดังกล่าว

ยุติสงครามด้วยการลดราคาน้ำมัน

ขณะที่ทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีประเทศต่าง ๆ รวมถึงพันธมิตรของตัวเอง ทรัมป์ก็บอกว่าตัวเองเป็นผู้สร้างสันติ และกล่าวถึงการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนในดาวอส

ในที่ประชุมสภาเศรษฐกิจทรัมป์ได้กล่าวโทษอดีตปธน.ไบเดน ที่ทำให้การรุกรานบานปลาย แต่ได้หยิบยกเรื่องราคาน้ำมันมาเชื่อมโยงกับการยุติสงคราม

“ถ้าราคาลดลง สงครามรัสเซีย-ยูเครนยุติทันที ตอนนี้ราคาสูงพอที่จะทำให้สงครามดำเนินต่อไป ต้องทำให้ราคาน้ำมันลดลง ถึงจะยุติสงครามนั้นได้”

สงครามทำให้ราคาพลังงานพุ่งสูง อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าทรัมป์จะมองเห็นภาพตลาดน้ำมันช่วยให้สงครามยุติได้อย่างไร

นอกจากนี้ทรัมป์ยังได้กล่าวถึงการสูญเสียในสงครามด้วย

“นั่นคือสนามรบของจริง ทหารหลายล้านคนถูกสังหาร ไม่มีใครเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขานอนตายเกลื่อนในสนามรบ” ทรัมป์ กล่าว และว่าความพยายามรักษาสันติภาพกำลังดำเนินอย่างมีความหวัง และบอกถึงความเป็นไปได้ในการต่อรองกับรัสเซีย เพื่อรื้อถอนคลังอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนของรัสเซีย

“ผมบอกคุณได้เลยว่าประธานาธิบดีปูติน ชอบแนวคิดการลดการใช้นิวเคลียร์มาก และผมคิดว่าที่อื่นๆ ในโลกจะทำตาม และจีนก็คงทำตามเช่นกัน”

ยืนยันไม่สนโลกร้อน

ทรัมป์คัมแบ็กครั้งนี้ก็มาพร้อมกับการโจมตีนโยบายสิ่งแวดล้อม และถอดถอนตัวออกจากองค์กรหรือความร่วมมือในด้านต่างๆ รวมถึงถอนตัวออกจากความตกลงปารีส ซึ่งเป็นข้อตกลงด้านสภาพภูมิอากาศระหว่างประเทศที่ออกแบบมาเพื่อลดการปล่อยมลพิษ

ในการประชุมดาวอส ทรัมป์บอกว่าความตกลงปารีสเป็นข้อตกลงด้านเดียว และเขาย้ำจะปลดล็อกแหล่งทรัพยากรเชื้อเพลิงฟอสซิลในประเทศ

“สหรัฐมีน้ำมันและก๊าซมากกว่าประเทศอื่นในโลก และเราจะใช้มัน” พร้อมให้คำมั่นจะอนุมัติกิจการด้านพลังงานโดยเร็ว

ทรัมป์ยังกล่าวเย้ยคู่แข่งทางการเมืองที่ผลักดัน “ข้อตกลงสีเขียวใหม่” ซึ่งเป็นนโยบายที่เสนอในสหรัฐเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ว่า 

“นโยบายนี้คิดขึ้นโดยนักเรียนธรรมดา นักเรียนที่คุณภาพต่ำว่าค่าเฉลี่ย” ทรัมป์ตำหนิผู้วางแผนนโยบายลดการปล่อยคาร์บอนว่า พยายามสร้างกระแส

“จำได้ไหมว่าโลกจะแตกในอีก 12 ปีข้างหน้า จำได้ไหม 12 ปีข้างหน้านั้นผ่านมาแล้ว โลกกำลังจะแตกสลาย สลายลงสู่พื้นดิน”

 

อ้างอิง: Al Jazeera