สิงคโปร์ผ่อนคลายนโยบายการเงิน ครั้งแรกในรอบ 5 ปี หลังเงินเฟ้อต่ำกว่า 2%

สิงคโปร์ผ่อนคลายนโยบายการเงิน ครั้งแรกในรอบ 5 ปี หลังเงินเฟ้อต่ำกว่า 2%

ธนาคารกลางสิงคโปร์ลดความชันแถบอัตราแลกเปลี่ยน สะท้อนเงินเฟ้อที่ลดลงและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

KEY

POINTS

  • MAS ลดความชันแถบอัตราแลกเปลี่ยนครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2563
  • เงินเฟ้อพื้นฐานลดลงต่ำกว่า 2%
  • เศรษฐกิจสิงคโปร์เติบโต 4% ในปี 2567
  • การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน
  • คาดว่าจะขยายตัว 1-3% ในปี 2568

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (24 ม.ค.) ว่า ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ซึ่งใช้ “อัตราแลกเปลี่ยน” เป็นเครื่องมือหลักทางนโยบายแทนอัตราดอกเบี้ย จะลดลงความชันของแถบนโยบายลงเล็กน้อย ตามแถลงการณ์ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางฯ จะไม่เปลี่ยนระยะค่าเงินอ้างอิงกลางรวมทั้งแถบความกว้างระหว่างค่าเงินสกุลอื่น  

ด้านนักเศรษฐศาสตร์ที่ตอบแบบสอบถามของบลูมเบิร์ก 17 ราย คาดว่า MAS จะลดความชันของแถบอัตราแลกเปลี่ยนลง โดยที่ผ่านมาธนาคารกลางดำเนินนโยบายทางการเงินแบบเข้มงวดมากขึ้น 5 ครั้งติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2564 ก่อนหยุดพักเป็นระยะเวลานานในปี 2566

ทั้งนี้ ค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับคู่สกุลเงินดอลลาร์หลังจากการตัดสินใจนี้

MAS อนุญาตให้เงินตราเคลื่อนไหวภายในกรอบเป้าหมายโดยปรับความชัน ศูนย์กลาง หรือความกว้างตามความจำเป็นเพื่อเปลี่ยนแปลงอัตราการเพิ่มค่าหรือลดค่า ธนาคารกลางไม่เปิดเผยรายละเอียดของนโยบายทางการเงินทั้งหมดที่จะใช้ในช่วงต่อไป

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงาน ปัจจุบันเงินเฟ้อของสิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศที่มีการนำเข้าเป็นส่วนใหญ่อยู่ที่ต่ำกว่า 2%

 

การตัดสินใจของ MAS เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ประธานโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งสมัยที่สอง โดยสัญญาว่าจะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของสหรัฐและสัญญาว่าจะเป็น "ยุคทองของซูเปอร์พาวเวอร์" ทรัมป์ได้ขู่ว่าจะกำหนดภาษีศุลกากรอย่างถ้วนหน้ากับทั้งกับพันธมิตรและคู่แข่ง โดยมองว่าภาษีเหล่านี้เป็นแหล่งรายได้และวิธีการบังคับให้บริษัทนำงานการผลิตกลับมายังสหรัฐ

ปัจจุบันธนาคารกลางหลายแห่ง กำลังติดตามเกี่ยวกับภาษีดังกล่าวอย่างระมัดระวังเพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เขาสัญญาณแผนที่จะเรียกเก็บภาษีที่เคยขู่ไว้สูงถึง 25% กับเม็กซิโกและแคนาดาภายในวันที่ 1 ก.พ. และกล่าวว่ากำลังพิจารณา 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน

ในสิงคโปร์ หน่วยงานต่างๆ มีความระมัดระวังในทำนองเดียวกัน ขณะที่ติดตามความเสี่ยงและจับตาดูเศรษฐกิจและตัวชี้วัดตลาดแรงงานซึ่งยังคงมีความยืดหยุ่น

ในปี 2567 เศรษฐกิจของสิงคโปร์เติบโต 4% ซึ่งเป็นอัตราที่เร็วที่สุดในรอบสามปี และเกินกว่าประมาณการใหม่ของรัฐบาล ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์จากบลูมเบิร์กคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 2.5% ในปีนี้ รัฐบาลกล่าวในเดือนพ.ย.ว่าคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 1-3% ในปี 2568

การทบทวนของ MAS เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (BOJ) ​จะประชุมนโยบายทางการเงินเพื่อพิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะจัดการประชุมนโยบายครั้งแรกของปี โดยยังมีคำถามเกี่ยวกับแนวโน้มการผ่อนคลายในอนาคต