‘คำสั่งฝ่ายบริหาร’ จะทำให้ ‘ทรัมป์’ เป็นพระราชา? หรือมีอำนาจใดยับยั้งได้

‘คำสั่งฝ่ายบริหาร’ จะทำให้ ‘ทรัมป์’ เป็นพระราชา? หรือมีอำนาจใดยับยั้งได้

การออกคำสั่งฝ่ายบริหารมากมายของปธน. ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ โดยไม่ต้องผ่านสภา จุดกระแสถกเถียงในสังคมว่า อำนาจนี้มีขอบเขตหรือไม่ จะสามารถทำให้ทรัมป์กลายเป็น ‘พระราชา’ ได้จริงหรือ หากคำสั่งเหล่านี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ จะมีวิธีใดในการยับยั้งคำสั่งเหล่านี้ได้บ้าง

“เพียง 1 วัน” ของการบริหาร “โดนัลด์ ทรัมป์” ก็ใช้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐเซ็น “คำสั่งฝ่ายบริหาร” (Executive Order) มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพิกถอนคำสั่งบริหารในยุคไบเดนรวดเดียว 78 ฉบับ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสและองค์การอนามัยโลก ปราบปรามผู้อพยพ-คุมเข้มชายแดน ยกเลิกสถานะพลเมืองโดยกำเนิด เลื่อนแบน TikTok ฯลฯ

คำถามที่น่าสนใจคือ “คำสั่งฝ่ายบริหาร” จะทำให้ทรัมป์ กลายเป็นเหมือน “พระราชา” ได้หรือไม่ ซึ่งสามารถชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ หรืออำนาจนี้มีข้อจำกัด ซึ่งสามารถถูกลบล้างได้ และถ้าเช่นนั้น อำนาจใดจะสามารถลบล้าง Executive Order นี้

คำสั่งฝ่ายบริหารมีไว้เพื่ออะไร

โดยปกติแล้ว การออกกฎหมายใด ๆ มักกระทำผ่านสภา ซึ่งมีกระบวนการหลายขั้นตอนตั้งแต่การรับหลักการ ตั้งคณะกรรมาธิการ ลงมติวาระ 1 วาระ 2 วาระ 3 ต่าง ๆ ซึ่งค่อนข้างใช้เวลาไม่น้อย อีกทั้งยังต้องรวบรวมเสียงข้างมากในสภาด้วย

ด้วยเหตุนี้ จึงเกิด “Executive Order” ขึ้นมา ตามมาตรา 2 แห่งรัฐธรรมนูญสหรัฐ เพื่อทำให้รัฐบาลดำเนินนโยบายที่ให้สัญญากับประชาชนไว้ได้อย่าง “รวดเร็ว” และ “เฉียบขาด” ไม่ต้องล่าช้าหรือถูกปัดตกจากกระบวนการรัฐสภา โดยคำประกาศของประธานาธิบดีเหล่านี้มีผลบังคับใช้เสมือนกฎหมาย

‘คำสั่งฝ่ายบริหาร’ จะทำให้ ‘ทรัมป์’ เป็นพระราชา? หรือมีอำนาจใดยับยั้งได้ - ทรัมป์ขณะใช้อำนาจคำสั่งฝ่ายบริหาร (เครดิต: Reuters) -

คำสั่งฝ่ายบริหารมีอำนาจอันล้นพ้นหรือไม่

อย่างไรก็ตาม อำนาจนี้ก็มี “ขอบเขต” ตามระบอบประชาธิปไตย นั่นคือ จะต้องไม่ขัดต่อกฎหมายรัฐบาลกลางและไม่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ 

มีคำสั่งหนึ่งจากทรัมป์ที่อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ นั่นคือ “การยกเลิกสถานะพลเมืองโดยกำเนิด” โดยแต่เดิมนั้น เด็กคนไหนที่เกิดในแผ่นดินสหรัฐ ต่อให้พ่อแม่เป็นผู้อพยพผิดกฎหมาย หรือเป็นผู้ถือวีซ่าชั่วคราว เด็กคนนั้นก็จะได้รับสัญชาติอเมริกันโดยอัตโนมัติ

แต่ช่องโหว่ของกฎหมายนี้คือ เกิดคลื่นอพยพจากหลายประเทศ แห่ลักลอบเข้ามายังสหรัฐเพื่อคลอดลูก จนรัฐบาลอเมริกาต้องแบกรับภาระงบประมาณจากเด็กเหล่านี้สูงขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งประชาชนไม่น้อยก็มองว่า หากจะได้สัญชาติอเมริกัน ควรมาด้วยกระบวนการถูกกฎหมายจะดีกว่า 

ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จึงใช้อำนาจฝ่ายบริหารเพิกถอนสิทธินี้ เด็กที่พ่อแม่เข้ามาอย่างไม่ถูกกฎหมายรวมถึงใช้วีซ่าชั่วคราว จะไม่ได้รับสัญชาติอเมริกันอีกต่อไป

คารา จ็อบสัน ทนายความด้านการย้ายถิ่นฐานที่ประจำอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า คำสั่งของทรัมป์มีผลบังคับให้หน่วยงานรัฐ “หยุดออกเอกสาร” ที่รับรองความเป็นพลเมืองสหรัฐ เช่น บัตรประกันสังคมหรือหนังสือเดินทาง ให้กับผู้ที่เข้าข่ายดังกล่าวซึ่งเกิดหลังวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2025 หรือก็คือคำสั่งนี้ใช้เฉพาะกับผู้ที่เกิดในสหรัฐหลังจาก 30 วันนับจากวันที่คำสั่งมีผลบังคับใช้ 

ไม่นานนัก ก็เกิดกลุ่มประท้วงทรัมป์ขึ้น นำโดยอัยการสูงสุดจาก 22 รัฐ รวมถึงรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ยื่นฟ้องศาล เพื่อท้าทายคำสั่งทรัมป์ พวกเขาอ้างว่า สถานะพลเมืองโดยกำเนิดนี้ได้รับการรับรองตามบทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 14 

อีกทั้งกล่าวเสริมต่อว่า การจะถูกยกเลิกได้ ก็ควรทำผ่านกระบวนการรัฐสภา ซึ่งต้องอาศัยเสียงข้างมาก 2 ใน 3 ในทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร นั่นหมายความว่า หากทำผ่านสภา โดยไม่ใช้ Executive Order จะต้องทำให้ผู้แทนพรรครีพับลิกันเห็นชอบทั้งหมด และต้องดึงผู้แทนจากพรรคเดโมแครตจำนวนหนึ่งให้เห็นชอบด้วยในทั้งสองสภา ซึ่งค่อนข้างยากอย่างยิ่ง 

ในขณะนี้ เรื่องดังกล่าวกำลังไปที่ศาลสูงสุดของสหรัฐในการวินิจฉัยว่า คำสั่งทรัมป์ในเรื่องนี้ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่

อำนาจใดสามารถลบล้างคำสั่งฝ่ายบริหาร

สำหรับฝ่ายที่จะถ่วงดุล “อำนาจประธานาธิบดี” ได้ คือ “ศาลสูงสุด” และ “สภาคองเกรส” เริ่มจากศาลสูงสุด ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งฝ่ายบริหาร โดยยกเหตุผลว่าขัดต่อกฎหมาย ก็สามารถยื่นต่อศาลให้พิพากษาได้ อย่างกรณีคำสั่งยกเลิกสถานะพลเมืองโดยกำเนิดของทรัมป์

ย้อนไปในสมัยประธานาธิบดีแฮร์รี ทรูแมนที่พยายามยึดโรงงานเหล็กในช่วงสงครามเกาหลี ศาลสูงสุดระบุว่า เขาไม่มีอำนาจที่จะยึดทรัพย์สินของเอกชนโดยไม่ได้รับอนุมัติจากรัฐสภา

ในส่วนของสภาคองเกรส แม้จะไม่มีอำนาจลบล้างคำสั่งฝ่ายบริหารโดยตรง แต่สามารถ “ออกกฎหมาย” อีกฉบับที่ขัดขวางคำสั่งฝ่ายบริหารได้ หรือแม้แต่การ “ไม่อนุมัติงบประมาณที่จำเป็น” ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงสมัยแรก ทรัมป์ออกคำสั่งสร้างกำแพงกั้นพรมแดน เพื่อสกัดผู้อพยพจากเม็กซิโก 

ด้านผู้แทนสภาที่นำโดยพรรคเดโมแครตได้ขัดขวาง ด้วยการไม่อนุมัติงบประมาณให้ ทำให้แม้จะมีคำสั่งบริหารจากทรัมป์ออกมา แต่เมื่องบประมาณไม่ผ่าน นโยบายก็ยังไม่สามารถเป็นจริงได้สำหรับกรณีการสร้างกำแพง 

อีกตัวอย่างในปี 1992 รัฐสภาได้เพิกถอนคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีจอร์จ เอช.ดับเบิลยู. บุช ซึ่งมีเป้าหมายจะจัดตั้งธนาคารเนื้อเยื่อของทารกในครรภ์ เพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ด้วยการผ่านมาตรการที่ระบุว่า คำสั่งดังกล่าวจะไม่มีผลทางกฎหมายใด ๆ

นอกจากนี้ รัฐสภายังสามารถปฏิเสธการจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้สภาจะพอขัดขวางคำสั่งฝ่ายบริหารได้ แต่ไม่ใช่ทำได้ง่าย เพราะประธานาธิบดีมีอำนาจในการวีโต้ (คัดค้าน) ด้วย กล่าวคือ กฎหมายที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาได้ หากประธานาธิบดีไม่เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนั้น ก็สามารถใช้สิทธิวีโต้ ตีกลับไปยังสภา โดยให้เหตุผลที่ไม่เห็นชอบ 

หากรัฐสภายังคงต้องการผ่านกฎหมายนี้ให้เป็นกฎหมายจริง ๆ จะต้องลงคะแนนเสียงใหม่และต้องได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบ “อย่างน้อย 2 ใน 3” ของ “ทั้งสองสภา” เพื่อยับยั้งการวีโต้ของประธานาธิบดี ซึ่งค่อนข้างท้าทายอย่างยิ่ง

โดยสรุปแล้ว “คำสั่งฝ่ายบริหาร” เหมือนดั่ง “ดาบอาญาสิทธิ์” ที่ทำให้ประธานาธิบดีดำเนินนโยบายได้อย่างรวดเร็ว ทว่าก็ไม่สามารถทำได้ดั่งใจทุกอย่าง โดยศาลสามารถออกคำพิพากษาขัดขวางได้ หากขัดต่อรัฐธรรมนูญ รวมถึงรัฐสภาก็สามารถออกกฎหมายยับยั้งได้ แต่ประธานาธิบดีก็วีโต้กลับได้เช่นกัน จึงทำให้การขัดขวางคำสั่งโดยตรงไม่ง่ายนัก สภาจึงมักสกัดผ่านวาระอนุมัติงบประมาณแทน   

อ้างอิง: cbctrumpusnews