ทำไม ‘ทรัมป์’ อาจล้มเหลวในการเก็บ ภาษีต่างชาติ ทดแทน การลดภาษีในประเทศ

ทรัมป์เสนอเก็บภาษีศุลกากรทุกประเทศอย่างต่ำ 10% คาดสร้างรายได้ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่รัฐบาลต้องสูญเสียรายได้ 4 ล้านล้านดอลลาร์ จากนโยบายลดภาษีในประเทศของทรัมป์ในสมัยแรกอยู่เลย นักวิชาการชี้ อาจเผชิญแรงต้านจากคองเกรสและเสี่ยงกระทบผู้บริโภค
KEY
POINTS
- ทรัมป์เสนอเก็บภาษีศุลกากร 10% เพื่อชดเชยรายได้จากการลดภาษีในประเทศ
- คาดว่าจะสร้างรายได้ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ใน 10 ปี
- แต่ต้องชดเชยค่าใช้จ่ายการลดภาษีถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์
- เผชิญแรงต้านจากสมาชิกคองเกรสในพรรครีพับลิกัน
- เสี่ยงส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายและอาจก่อให้เกิดเงินเฟ้อ
- นักวิเคราะห์มองว่านโยบายนี้ไม่เพียงพอต่อการชดเชยรายได้ที่หายไป
หลังจากเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการไม่นาน โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐก็มีแผนเตรียมใช้ "รายได้จากการเก็บภาษีศุลกากร" สินค้านำเข้าต่างประเทศเพื่อชดเชยกับ "รายได้ที่หายไปจากการลดภาษีภายในประเทศ" หลายล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและอาจเผชิญแรงต้านจากสมาชิกพรรครีพับลิกันส่วนใหญ่ในสภาคองเกรส
ปัจจุบันรายได้ของสหรัฐจากภาษีสินค้านำเข้า (เครื่องมือในปกป้องผู้ผลิตในประเทศ) คิดเป็นไม่ถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ ดังนั้นเม็ดเงินจำนวนนี้จึงไม่ได้รับความสนใจและมีอำนาจต่อรองในการอภิปรายงบประมาณประจำปีมากนักเพราะคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับรายได้ทั้งหมดของรัฐบาล
ก่อนหน้านี้ทรัมป์ขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าทั่วไป โดยต้องการใช้ภาษีศุลกากรทดแทนรายจากการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคลตามนโยบาย ซึ่งรายได้จากภาษีส่วนนี้คิดเป็นรายได้ที่มากที่สุดของรัฐบาลสหรัฐ
"แทนที่จะเก็บภาษีจากพลเมืองของเราเพื่อทำให้ประเทศอื่นร่ำรวย เราจะเก็บภาษีและอากรจากประเทศต่างชาติเพื่อทำให้พลเมืองของเราร่ำรวย เพื่อวัตถุประสงค์นี้ เราจะจัดตั้ง External Revenue Service เพื่อเก็บภาษีศุลกากร ค่าธรรมเนียม และรายได้ทั้งหมด นี่จะเป็นเงินจำนวนมหาศาลที่ไหลเข้าสู่คลังจากแหล่งต่างประเทศ" ทรัมป์กล่าวระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์วันสาบานตนรับตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตามงบประมาณสหรัฐจะพบว่า การหารายได้จากภาษีศุลกากรให้เพียงพอเพื่อทดแทนรายได้ที่หายไปจากนโยบายการลดภาษีนิติบุคคลและเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเรื่องยากเนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ภาษีเหล่านี้คิดเป็นเพียงประมาณ 2% ของรายได้รายปี หรือประมาณ 5 ล้านล้านดอลลาร์เท่านั้น
"ภาษีศุลกากรจะเป็นประเด็นสำคัญในการหารือเรื่องการลดภาษี" ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของทรัมป์ กล่าวกับ CNBC เมื่อวันอังคาร พร้อมอธิบายเสริมว่า
"ภาษีร้อยละ 10 จะสร้างรายได้ประมาณ 3.5-4 แสนล้านดอลลาร์ คุณเห็นความสวยงามจากเม็ดเงินตรงนี้ไหม"
บทวิเคราะห์ของรอยเตอร์ส แสดงความคิดเห็นว่า นักงบประมาณจากรีพับลิกันส่วนหนึ่งแสดงความกังวลต่อความเป็นไปได้และความยั่งยืนของการเพิ่มรายได้จากภาษีศุลกากร รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อประชาชนในเขตเลือกตั้งของพวกเขา และนักงบประมาณกลุ่มนี้จึงมีแนวโน้มที่จะคัดค้านนโยบายดังกล่าว
นายรัลฟ์ นอร์แมน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรครีพับลิกันจากเซาท์แคโรไลนา กล่าวกับรอยเตอร์ส ว่าความพยายามของทรัมป์ในการผ่านกฎหมายภาษีศุลกากรผ่านสภาเป็นเรื่องยาก “สส.ทุกคนมีประชาชนในเขตเลือกตั้งและบริษัทที่ตั้งอยู่ในรัฐซึ่งต้องดูแลและพวกเขาได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบด้านบวกหรือลบ ฉันจึงตั้งคำถามกับความเป็นไปได้ของนโยบายนี้”
เก็บภาษีศุลกากรเสี่ยงไม่ได้รับเสียงหนุน
ด้านบอบบี โคแกน ผู้อำนวยการอาวุโสด้านนโยบายงบประมาณจาก ศูนย์ความก้าวหน้าอเมริกัน กล่าวว่า "เชิงเทคนิคและเชิงคณิตศาสตร์นโยบายที่จะนำภาษีศุลกากรมาชดเชยการลดภาษีในประเทศมีความเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติน่าจะได้คะแนนเสียงไม่เพียงพอ”
ส่วนสตีฟ สเกลีส ผู้นำฝ่ายรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวกับรอยเตอร์สว่า "ทรัมป์บอกเป็นนัยถึงการเก็บภาษีศุลกากร แต่เรายังไม่ทราบรายละเอียด เขาบอกให้เตรียมตัวรอ จนกว่าเราจะเห็นรายละเอียด ก็ยากที่จะคาดเดา"
ผลกระทบเชิงลบรอบด้านต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
บทวิเคราะห์ของรอยเตอร์ส รายงานว่า หากพิจารณาจากคำประกาศของทรัมป์ อาจคาดเดาได้ว่าบริษัทนำเข้าจะต้องเป็นผู้จ่ายภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้าในสหรัฐ ดังนั้นนักวิเคราะห์และผู้บริหารส่วนใหญ่เชื่อว่าผู้นำเข้าจะต้องผลักภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้บริโภคหรือยอมรับกำไรที่ลดลง
สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า คณะกรรมาธิการด้านภาษีของรัฐสภาสหรัฐ ซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการหลักในการร่างกฎหมายภาษี รวมภาษีศุลกากรร้อยละ 10 ในสินค้าทั่วไปไว้ในตัวเลือกเพื่อจ่ายสำหรับการขยายระยะเวลาการลดภาษี ตามบันทึกที่รอยเตอร์เห็นเมื่อเร็วๆ นี้ โดยประมาณการว่าระบบภาษีศุลกากรดังกล่าวจะสร้างรายได้ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปี การขยายระยะเวลาการลดภาษีที่ทรัมป์ผ่านในสมัยแรกและกำลังจะหมดลงในปีนี้จะมีค่าใช้จ่าย 4 ล้านล้านดอลลาร์ตามประมาณการของนักวิเคราะห์
รายงานจากคณะกรรมาธิการด้านภาษีของรัฐสภาสหรัฐ ระบุตัวเลือกการเก็บภาษีศุลกากรร้อยละ 10 เป็นหนึ่งตัวเลือกในการหารายได้เพิ่มเพื่อทดแทนรายได้ที่สูญหายไปจากการลดภาษีในประเทศ
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์แหล่งข่าวรอยเตอร์ส บันทึกไว้ว่า นโยบายดังกล่าวจะสร้างรายได้ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปี ในขณะเดียวกันนโยบายการลดภาษีของทรัมป์ในสมัยแรกซึ่งกำลังจะหมดลงในปีนี้จะทำให้รัฐบาลสหรัฐเสียรายได้ไป 4 ล้านล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังสัญญาว่าจะหยุดเก็บภาษีจากทิปแรงงานและการจ่ายเงินให้กับผู้รับเบี้ยบำนาญประกันสังคม ซึ่งจะเพิ่มหนี้สาธารณะของรัฐบาลหลายแสนล้านโดยไม่มีรายได้หรือการตัดลดค่าใช้จ่ายที่อื่นเพื่อสร้างสมดุลของรายรับและรายจ่าย
ขณะนี้ พรรครีพับลิกันกำลังเตรียมดำเนินการตามแผนเหล่านี้ผ่านกระบวนการงบประมาณของรัฐสภาที่เรียกว่า "Budget Reconciliation" ซึ่งไม่จำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคเดโมแครต
ด้วยเสียงข้างน้อยเพียงเล็กน้อยในสภาผู้แทนราษฎรและเสียง 53-47 ในวุฒิสภา ทรัมป์ต้องโน้มน้าวผู้จัดทำงบประมาณในพรรคของตัวเองว่าแผนเหล่านี้จะไม่เพิ่มหนี้สาธารณะของประเทศ ในขณะที่พรรคเดโมแครตคัดค้านนโยบายการลดภาษีส่วนใหญ่ของทรัมป์
ลุ้นส่งร่างกฎหมายให้สำนักงบฯ ตรวจสอบหรือไม่
บทวิเคราะห์ของรอยเตอร์ส ระบุเพิ่มเติมว่า หากนโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ไม่ถูกระบุอย่างเป็นทางการในกฎหมาย ก็มีความเป็นไปได้สูงที่สำนักงบประมาณของรัฐสภาจะไม่มีสิทธิ์ในการตรวจสอบงบประมาณดังกล่าวอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ โจดีย์ แอร์ริงตัน ประธานคณะกรรมาธิการงบประมาณสภา จากรัฐเท็กซัส กล่าวว่า การนับภาษีศุลกากรเป็นรายได้จะต้องมีการลงคะแนนเสียงในสภาและจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่องบประมาณ “ความต้องการนี้ของทรัมป์เป็นสิ่งที่ต้องส่งมาให้สำนักงบประมาณของรัฐสภาพิจารณา แต่ผมไม่ได้บอกว่าสำนักงบฯ กำลังพิจารณา เพราะความจริงแล้วทุกฝ่ายกำลังหารือกันว่าจะนำเข้ามาหรือไม่ ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป”
มากไปกว่านั้น แม้รัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มจากการเก็บภาษีศุลกากร แต่เพื่อทำงบประมาณให้สมดุล พรรครีพับลิกันอาจต้องตัดลดงบประมาณในโครงการรัฐบาลที่เป็นที่นิยมอย่างมาก เช่น ประกันสังคมและแผนประกันสุขภาพเมดิแคร์สำหรับผู้สูงอายุ
มูลนิธิภาษีซึ่งเป็นองค์กรอิสระของสหรัฐ ประมาณการว่า รัฐบาลสหรัฐจำเป็นต้องมีรายได้อย่างน้อย 4.3 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากนโยบายลดภาษีของทรัมป์จากสมัยแรกที่กำลังจะหมดลงสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ทรัมป์จะเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงสุดตามที่เขาประกาศไว้ที่ 20% สำหรับทุกประเทศและ 60% สำหรับจีน ทว่าเม็ดเงินที่จะได้กลับมาก็คิดเป็นเพียง 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการทำงบประมาณสมดุล
ด้าน เอริกา ยอร์ก รองประธานนโยบายภาษีรัฐบาลกลางของมูลนิธิภาษี กล่าวว่า การใช้ภาษีศุลกากรเพื่อหารายได้เป็น "เรื่องที่ผิดปกติและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน"
"ภาษีศุลกากรเป็นวิธีที่ไร้ประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการหารายได้ นโยบายดังกล่าวมีผลกระทบรุนแรงต่อครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง หมายความว่าครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลางอาจเสียประโยชน์จากการผสมผสานนโยบายภาษีศุลกากรและการลดภาษีที่ของประธานาธิบดี"
ด้าน มาร์ติน มือเลเซน นักวิชาการอาวุโสจากสถาบันแอตแลนติก เตือนว่า ภาษีศุลกากรมีวัตถุประสงค์เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรม คล้ายกับ "ภาษีบาป" ที่ใช้กับบุหรี่หรือแอลกอฮอล์ ซึ่งจะเกิดผลกระทบในระยะยาว
"หากภาษีศุลกากรมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนการบริโภคภายในประเทศให้หันไปซื้อสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น ดังนั้นหากประชาชนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมจริง ก็มีความเป็นไปได้ที่ความต้องการสินค้าต่างชาติจะน้อยลง และพอสินค้าต่างชาติน้อยลง รายได้จากภาษีศุลกากรของสหรัฐก็จะน้อยลงตามไป ในทางกลับกัน หากปริมาณสินค้านำเข้ายังเท่าเดิมแต่มีภาษีเพิ่มมากขึ้น นั้นหมายความว่าจะเกิดเงินเฟ้อจากราคาสินค้าและบริการที่แพงขึ้นซึ่งจะลดการเติบโตทางเศรษฐกิจ”
อ้างอิง: Reuters