ทรัมป์ลงนามคำสั่งรับรองแค่ ‘ชาย-หญิง’ สวนทางไทยที่เพิ่งผ่าน ‘สมรสเท่าเทียม’

ทรัมป์เริ่มวาระที่ 2 ด้วยการลงนามคำสั่งรับรองเฉพาะเพศชาย-หญิงในเอกสารราชการ ยกเลิกตัวเลือกเพศ X ที่เคยมีในสมัยไบเดน สวนทางกระแสโลกและไทยที่เพิ่งผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากกลุ่ม LGBTQIA+ ทั่วประเทศ
ขณะที่สังคมไทยกำลังก้าวไปข้างหน้าด้วยการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม แต่ในสหรัฐกลับถอยหลังเรื่องสิทธิเพศหลากหลาย (LGBTQIA+) เพราะ “โดนัลด์ ทรัมป์” เริ่มต้นวาระประธานาธิบดีครั้งที่สองด้วยการลงนามในคำสั่งบริหารว่า รัฐบาลกลางจะรับรองเพียงสองเพศเท่านั้น คือ ชายและหญิง ซึ่งหมายความว่าประชาชนจะไม่สามารถเลือกเพศ “X” ในเอกสารราชการได้อีกต่อไป
การตัดสินใจครั้งนี้นับเป็นการล้มนโยบายของรัฐบาลโจ ไบเดน ที่เคยอนุญาตให้ประชาชนสามารถเลือกเพศ X ในหนังสือเดินทางมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2022
ลอว์เรนซ์ กอสติน ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายสุขภาพโลกแห่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ถึงกับเรียกการตัดสินใจครั้งนี้ว่า “รุนแรงที่สุด” และเป็น “บาดแผลร้ายแรงต่อผลประโยชน์ของชาติและความมั่นคงของอเมริกา”
ทำไมถึงเป็นเรื่องใหญ่?
แม้ว่าคำสั่งดังกล่าวอาจฟังดูเหมือนเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนระบบราชการ แต่ผลกระทบกลับกินลึกถึงชีวิตประจำวันของผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สามารถระบุเพศได้เพียงแค่สองแบบ เช่น คนที่ไม่ได้นิยามตัวเองว่าเป็นชายหรือหญิง (Non-binary) และคนข้ามเพศ (Transgender) เพราะพวกเขาจะไม่สามารถมีเอกสารราชการที่ตรงกับตัวตนได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเดินทาง วีซ่า บัตรประจำตัวที่ออกโดยรัฐบาล ตลอดจนเอกสารราชการอื่นๆ ทั้งหมด
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังสั่งห้ามใช้งบประมาณของรัฐบาลกลางในการสนับสนุนแนวคิดเรื่องเพศสภาพ พร้อมทั้งสั่งให้ทบทวนเงื่อนไขการให้ทุนต่างๆ เพื่อไม่ให้มีการส่งเสริม “อุดมการณ์เพศสภาพ” รวมถึงยังส่งผลกระทบถึงนักโทษในเรือนจำ โดยห้ามใช้งบประมาณของรัฐในการรักษาพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับการแปลงเพศหรือการรักษาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพให้ตรงกับเพศตรงข้าม
คำสั่งในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่า ทรัมป์พยายามอย่างต่อเนื่องในการลดทอนสิทธิของชุมชน LGBTQAI+ ผ่านนโยบายต่างๆ ดังที่เคยทำมาตลอด 4 ปีในสมัยแรก โดยเฉพาะการพยายาม “ลบล้างคำว่าคนข้ามเพศให้หายไป” ด้วยการยกเลิกการคุ้มครองนักเรียนและคนทำงานที่เป็นคนข้ามเพศ และจำกัดการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่เกี่ยวกับการข้ามเพศ
เสียงคัดค้านดังทั่วประเทศ
ในวันเดียวกับที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง บิชอป มาเรียน เอ็ดการ์ บัดด์ (Bishop Mariann Edgar Budde) ผู้นำนิกายอีพิสโคพัลจากศาสนจักรวอชิงตัน ได้กล่าวในพิธีสวดมนต์อวยพรประธานาธิบดีคนใหม่ โดยวิงวอนให้ทรัมป์แสดงความเมตตาต่อเด็กๆ ที่เป็นเกย์ เลสเบี้ยน และคนข้ามเพศ รวมถึงผู้อพยพในประเทศ แต่ทรัมป์กลับแสดงท่าทีไม่พอใจและวิจารณ์พิธีกรรมดังกล่าวว่า “คุณคิดว่ามันน่าตื่นเต้นไหม? ผมว่าไม่เลยนะ มันไม่ใช่พิธีที่ดีนัก พวกเขาทำได้ดีกว่านี้”
เสียงคัดค้านไม่ได้ดังขึ้นเพียงในอเมริกา แต่ยังก้องไปถึงต่างประเทศ สุนิล บาบู พันต์ (Sunil Babu Pant) อดีตสมาชิกรัฐสภาเนปาลที่เป็นเกย์คนแรกในเอเชีย ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านอย่างแข็งขัน โดยชี้ว่าปัจจุบันมี 17 ประเทศทั่วโลกที่รับรองเพศที่มากกว่าแค่ชายหญิง การที่สหรัฐถอยหลังเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนในระดับโลก
“เราขอประณามการลบตัวตนของคนเพศหลากหลายและคนที่มีอัตลักษณ์เพศอื่นๆ โดยรัฐบาลสหรัฐ การกระทำนี้ไม่เพียงแค่ล้าหลัง แต่ยังเป็นการทำลายสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน” สุนิล บาบู พันต์ กล่าว
ในขณะที่กลุ่ม LGBTQAI+ และองค์กรสิทธิมนุษยชนประกาศพร้อมสู้คำสั่งนี้ในศาล ฝั่งผู้สนับสนุนทรัมป์กลับมองว่านี่เป็นการปกป้องผู้หญิงและเด็กจากอุดมการณ์เพศที่พวกเขามองว่าสุดโต่ง ด้าน เจย์ ริชาร์ดส์ จากมูลนิธิ Heritage ถึงกับให้ความเห็นว่า
“ทรัมป์ได้สร้างความชัดเจนว่ารัฐบาลของเขาจะต่อสู้กับอุดมการณ์เพศที่เบี่ยงเบน และปกป้องผู้หญิงและเด็ก... นี่คือก้าวสำคัญที่รอการรับรองจากสภาคองเกรส”
อนาคตที่น่าวิตก
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ LGBTQAI+ มองว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของนโยบายที่จะกระทบชุมชนเพศหลากหลายอีกมากในอนาคต โดยทรัมป์เคยประกาศว่าจะยกเลิกการคุ้มครองนักเรียนข้ามเพศในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง และอาจมีแผนที่จะยกเลิกกฎระเบียบที่ห้ามเลือกปฏิบัติต่อคนเพศหลากหลายในทุกด้าน ทั้งการห้ามคนข้ามเพศรับราชการทหาร และการระงับการเข้าถึงการรักษาพยาบาลสำหรับคนข้ามเพศในโครงการสุขภาพของรัฐ เช่น Medicare
แม้จะมีความพยายามต่อสู้ทางกฎหมาย แต่หนทางข้างหน้าไม่ง่าย เพราะในสมัยที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีครั้งก่อน เขาได้แต่งตั้งผู้พิพากษาที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมไว้มาก ทำให้การต่อสู้ในศาลอาจไม่ประสบความสำเร็จ
องค์กรต่างๆ จึงวางแผนที่จะต่อสู้ในหลายด้าน ทั้งการฟ้องร้อง การรณรงค์ และการผลักดันในรัฐสภา โดยหวังว่าสมาชิกสภาที่สนับสนุนความเท่าเทียมจะช่วยคานอำนาจ และผลักดันกฎหมายคุ้มครองสิทธิเพศหลากหลายที่เรียกว่า Equality Act
ผลสำรวจความคิดเห็นชี้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในสหรัฐสนับสนุนการคุ้มครองสิทธิของคน LGBTQAI+ แต่ดูเหมือนว่าในช่วง 4 ปีข้างหน้า พวกเขาจะต้องต่อสู้หนักเพื่อรักษาสิทธิที่เคยได้มาไว้ให้ได้
“เราทุกคนต้องลุกขึ้นต่อสู้” บิชอปกล่าวหลังพิธี พร้อมทิ้งท้ายว่า “ความรักและความเมตตาเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มันคือสิ่งที่เราทุกคนควรมีให้กัน ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม”