ถอดรหัส ‘เป็นกลางอย่างมียุทธศาสตร์’ ของ ปานปรีย์ หมากการทูตไทยยุคทรัมป์ 2.0

"เป็นกลางอย่างมียุทธศาสตร์" ข้อเสนอของ "ปานปรีย์ พหิทธานุกร" อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในการเดินหมากการทูต ยุคทรัมป์ 2.0
หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐสาบานตนเข้าสู่ตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา เพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังจากนั้นทรัมป์ก็ประกาศนโยบายและใช้ Executive Orders หรือคำสั่งพิเศษของประธานาธิบดีหลายรายการ จนทั้งโลกเริ่มได้รับรู้แรงสั่นสะเทือน “อย่างเป็นรูปธรรม” มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศขึ้นภาษีศุลกากรกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเม็กซิโกและแคนาดาทันที 25% และล่าสุดวันนี้ (22 ม.ค.) ยังยืนยันว่าจะขึ้นภาษีศุลกากรต่อจีนเช่นเดียวกันที่10%
นักวิชาการส่วนหนึ่งมองว่า หากพิจารณาจากท่าทีล่าสุดทรัมป์พยายาม “เล่นงาน” กับประเทศเทียร์ 1 คือประเทศข้างเคียงก่อนและเป้าหมายต่อไปคงหนี้ไม่พ้นประเทศเทียร์ 2 อย่างประเทศไทยและหลายประเทศในอาเซียนที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐอย่างต่อเนื่อง
นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวยืนยันในงานเสวนาโต๊ะกลมของ “กรุงเทพธุรกิจ” ในหัวข้อ Geopolitics 2025 | TRUMP 2.0 : The Global Shake Up ว่า ไทยต้องเตรียมตัวรับมือกับความท้าทายจากนโยบายทางภาษีของทรัมป์เพราะเกินดุลการค้ากับสหรัฐมากที่สุดเป็นอันดับที่ 12 ของโลกด้วยมูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นประมาณ 20%
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากข้อเท็จจริงที่ว่า เศรษฐกิจไทยก็เติบโตได้จากการส่งออกเป็นหลัก ซึ่งในปี 2566 มีมูลค่าประมาณ 2.84 แสนล้านดอลลาร์ โดยส่งออกไปสหรัฐและจีนมากที่สุดที่ 17% และ 12% ตามลำดับ
เป็นกลางอย่างมีกลยุทธ์
ดังนั้น อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศผู้นี้จึงเสนอแนะว่า ไทยต้องดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ “เป็นกลางอย่างมียุทธศาสตร์” ด้วยการรักษาสมดุลในโลกที่แบ่งขั้วทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคง เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากไทยจะเป็นกลางอย่างมียุทธศาสตร์ได้ รัฐบาลควรดำเนินการเจรจาทวิภาคีกับสหรัฐเพื่อขอจำกัดอัตราเพดานภาษี โดยแบ่งตามกลุ่มสินค้าประเภทต่างๆ เช่น กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูง กลุ่มสินค้าเกษตร และกลุ่มสินค้าที่มีการขยายตัวเร็ว อาทิ แผงโซลาร์และแอร์คอนดิชัน รวมทั้งยังเสนอให้เตรียมมาตรการเยียวยาเกษตรกรที่อาจได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปยังสหรัฐ
ในขณะเดียวกัน ไทยจำเป็นต้องสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ระดับสูงกับผู้มีอำนาจตัดสินใจในสหรัฐ และใช้ประโยชน์จากความเป็น “หุ้นส่วนกับภาคเอกชน” ในอเมริกาเพื่อการผลักดันผลประโยชน์ร่วมกัน พร้อมทั้งส่งเสริมการค้าและการลงทุนสองทางให้มากขึ้น
มากไปกว่านั้น ส่ิงที่รัฐบาลต้องทำต่อไปคือ ต้องใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือ “อาเซียน” โดยเร่งส่งเสริมความเข้มแข็งและอำนาจต่อรองผ่านประเด็นที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน และเสริมสร้างความเป็นแกนกลางของกลุ่มความร่วมมือในการมีปฏิสัมพันธ์กับมหาอำนาจ เพื่อรักษาเสถียรภาพไม่ให้อาเซียนกลายเป็น “พื้นที่แข่งขัน” ระหว่างมหาอำนาจ
ประกอบกับ การรวมกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน และประเทศอำนาจขนาดกลาง และประเทศที่เติบโตเร็วเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อรักษาสถานะของการไม่เป็นส่วนหนึ่งของการขัดแย้ง ยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ค่านิยมสากลเป็นที่ตั้ง ส่งเสริมความเข้มแข็งอำนาจต่อรอง เสริมสร้างความเป็นแกนกลางอาเซียนผ่านกลไกต่างๆ รวมทั้งรักษาเสถียรภาพไม่ให้ภาคีภายนอกใช้ประโยชน์ตรงนี้
"การที่ไทยมีมิตรจะช่วยสร้างอำนาจต่อรองให้มีบทบาทเป็นสะพานเชื่อม เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะสร้างเสถียรภาพ สถานะ อิทธิพลไปสู่ระเบียบโลกใหม่อย่างเต็มที่ และต้องเป็นกลาง รักษาสมดุลโลกแบ่งขั้ว แบ่งค่าย เพื่อให้ฝ่าฟัน ต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงต่อไปได้"
ความเสี่ยงหลังจากนี้
ขณะเดียวกันเมื่อจีนเผชิญกับความท้าทายจากภาษีของทรัมป์ ประเทศไทยอาจมีความเสี่ยงเกี่ยวกับการที่ผู้ประกอบการจีนอาจย้ายฐานการผลิตมาไทยเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐ ซึ่งอาจทำให้ทรัมป์มองว่าไทยเป็นแหล่งหลบเลี่ยงภาษี และนำไปสู่การใช้มาตรการตรวจสอบสินค้านำเข้าอย่างเข้มงวดกับไทย ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเตรียมรับมือกับประเด็นนี้เช่นเดียวกัน
ในด้านการลงทุน เขาชี้ว่านักลงทุนต่างชาติอาจมองไทยเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูง ประกอบกับนโยบายของสหรัฐที่ต้องการให้บริษัทอเมริกันย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ จึงจำเป็นต้องเตรียมแผนรับมือเพื่อรักษาความน่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนต่างชาติและหาพาร์ทเนอร์การค้าใหม่ๆ
ท้ายที่สุด อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า ยุคทองของการค้าระหว่างประเทศได้จบลงแล้ว และทรัมป์ 2.0 จะมาพร้อมกับความไม่แน่นอนสูง ดังนั้นประเทศไทยต้องตั้งรับและดำเนินนโยบายทางการทูตแบบ “เป็นกลางอย่างมีกลยุทธ์”