สรุปผลงานประธานาธิบดี 'ทรัมป์' วันแรก เซ็นคำสั่งกี่ฉบับ มีอะไรบ้าง

เดย์วันเขย่าโลก! ทรัมป์ลงนามคำสั่งพิเศษไปแล้วกว่า 200 ฉบับต้้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง 'รื้อ-ล้ม' นโยบายยุคไบเดนอื้อ พลิกโฉมสหรัฐเข้าสู่ยุค MAGA ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งพิเศษไปแล้วมากถึงประมาณ 200 ฉบับ ในวันที่ 20 ม.ค. ซึ่งเป็นวันแรกที่เข้ารับตำแหน่งผู้นำคนใหม่ของสหรัฐ โดยการลงนามดังกล่าวมีตั้งแต่คำสั่งพิเศษของฝ่ายบริหาร บันทึกช่วยจำ ไปจนถึงคำสั่งประกาศต่างๆ
โดยส่วนใหญ่เป็นการ “พลิกนโยบาย” จากรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพื่อมุ่งหน้าบริหารประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้านี้ภายใต้นโยบาย “ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง” (Make America Great Again - MAGA) โดยสามารถแตกเป็นประเด็นใหญ่ๆ ได้ดังนี้
ชะลอการขึ้นภาษีจีน-ภาษีโลก
ทรัมป์ไม่ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ากับ "จีน" ตามที่เคยขู่เอาไว้ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานว่า "ทรัมป์จะชะลอการขึ้นภาษีศุลกากรออกไปก่อน" โดยสั่งให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางไปศึกษานโยบายการค้า และประเมินความสัมพันธ์ทางการค้าของสหรัฐกับจีน และเพื่อนบ้านในทวีปอเมริกา ขณะที่บลูมเบิร์กรายงานว่า ทรัมป์ให้มีการสืบสวนว่ารัฐบาลปักกิ่งได้ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ลงนามในช่วงสมัยแรกของเขาหรือไม่
ระหว่างการแถลงข่าวในห้องทำงานรูปไข่ ทรัมป์หลีกเลี่ยงการยืนยันแผนภาษีศุลกากรกับจีน และกล่าวเพียงว่ากำลังวางแผนที่จะเรียกเก็บภาษี เนื่องจากบทบาทของจีนที่เกี่ยวข้องในการเป็นผู้ส่งออกสารตั้งต้นยาเสพติดเฟนทานิล รวมถึงความโกรธของเขาต่ออิทธิพลของจีนที่มีต่อคลองปานามา
อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีการขึ้นภาษีกับจีนและสินค้านำเข้าจากทั่วโลกตามที่เคยขู่เอาไว้ แต่ทรัมป์กลับลงดาบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง "แคนาดา" และ "เม็กซิโก" โดยประกาศจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้ากับสองประเทศนี้สูงสุดถึง 25% ภายในวันที่ 1 ก.พ. 2025 และย้ำว่าเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดที่สุดของสหรัฐสองประเทศนี้กำลังปล่อยให้มีการลักลอบนำเข้า “แรงงานผิดกฎหมาย” และ “ยาเสพติด” เข้าสู่ประเทศ
สำหรับการเตรียมเก็บภาษีระดับสูงกับสองประเทศนั้น มีความสำคัญต่อการนำเข้าพลังงานและยานยนต์ของสหรัฐ ซึ่งอาจก่อให้เกิดสงครามการค้าระหว่างประเทศที่ลงนามในข้อตกลงเขตการค้าเสรีฉบับใหม่ สหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ทั้งแคนาดาและเม็กซิโกต่างประกาศว่าจะตอบโต้สินค้าของสหรัฐหากถูกเรียกเก็บภาษี และข้อตกลง USMCA จะถูกทบทวนในปี 2026
ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน
ทรัมป์ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ ซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลกลางสามารถลดข้อกำหนดในการขออนุญาตสำหรับโครงการพลังงาน เร่งการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และผ่อนปรนข้อจำกัดในการส่งออกเชื้อเพลิงฟอสซิล
ก่อนหน้านี้ในการปราศรัยรับตำแหน่ง ทรัมป์ได้ประกาศว่า "จะประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ เราจะขุด(น้ำมัน) ขุดมันเข้าไป ...เราจะกลับมาเป็นประเทศที่ร่ำรวยอีกครั้ง และทองคำเหลวที่อยู่ใต้เท้าของเรานั้นจะช่วยให้เป็นเช่นนั้นได้”
ยกเลิกข้อบังคับด้าน 'อีวี'
ทรัมป์ลงนามคำสั่งให้รัฐบาล "ยกเลิกข้อบังคับเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า" (อีวี) ปี 2021 ที่ลงนามโดยโจ ไบเดน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้รถยนต์ใหม่จำนวน 50% จากทั้งหมดที่จำหน่ายในปี 2573 นั้นต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้า นับเป็นความพยายามที่จะล้มเลิกกฎระเบียบที่ควบคุมมลพิษจากรถยนต์และมาตรฐานการประหยัดเชื้อเพลิง โดยทรัมป์อ้างว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการจำกัดทางเลือกของผู้บริโภคอย่างไม่เป็นธรรม
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังมีแผนที่จะสั่งการให้หน่วยงานต่างๆ ทำการทบทวนใหม่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ที่กำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งกฎเกณฑ์ดังกล่าวกำหนดให้ผู้ผลิตรถยนต์จะต้องจำหน่ายรถอีวี จำนวน 30-56% ภายในปี 2575 นอกจากนี้ ยังได้เรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลพิจารณายกเลิกเงินอุดหนุนซื้อรถยนต์อีวี 7,500 ดอลลาร์
ทรัมป์ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการดำเนินการตามคำสั่งนี้อย่างชัดเจน แต่หนึ่งในแนวทางที่เป็นไปได้คือการสั่งให้สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (EPA) ทบทวนและปรับแก้ข้อจำกัดที่เพิ่งบังคับใช้เกี่ยวกับมลพิษจากท่อไอเสียรถยนต์ ซึ่งมีความเข้มงวดมากจนทำให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต้องขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ปล่อยมลพิษ
ถอนตัวจากข้อตกลงปารีส
ทรัมป์ยังได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อถอนสหรัฐออกจาก "ข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" (Paris Agreement) โดยอ้างว่าสหรัฐจะประหยัดเงินได้ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ หากถอนตัวออกจากข้อตกลงนี้
การถอนตัวจาก WHO
คำสั่งฝ่ายบริหารอีกฉบับที่ทรัมป์ลงนามก็คือ การถอนสหรัฐออกจาก "องค์การอนามัยโลก" (WHO) โดยอ้างเหตุผลในการถอนตัวว่าเป็นเพราะการจัดการที่ผิดพลาดของ WHO ในช่วงรับมือกับการระบาดขอโรคโควิด-19 รวมถึงปัญหาเรื่อง "ค่าใช้จ่ายที่หนักหนาสาหัส" จากการส่วนหนึ่งขององค์กรระหว่างประเทศ
ปิดฉาก WOKE อเมริกามีแค่เพศชายและหญิง
ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารกำหนดให้รัฐบาลกลางมีนโยบายรับรอง "เพศสองเพศที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้" ได้แก่ ชายและหญิง นอกจากนี้ยังได้สั่งให้สำนักงานบริหารและงบประมาณประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อยุติคำสั่ง นโยบาย และโครงการทั้งหมดที่ส่งเสริมหลักการ DEI (ความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการเข้าถึง ซึ่งเป็นหลักการในยุคของไบเดนที่ส่งเสริมแนวคิดเรื่องการตื่นรู้ หรือ โว้ก (Woke)
“นับจากนี้เป็นต้นไป นโยบายอย่างเป็นทางการของรัฐบาลสหรัฐจะเป็นไปในทางเดียวกันว่า จะมีเพศเพียงสองเพศคือ ชายและหญิง” ทรัมป์ระบุในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์รับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค.
แต่งตั้งครม.ทรัมป์ 2.0
กลุ่มเอกสารฉบับแรกๆ ที่ทรัมป์ลงนามไปเมื่อวานนี้คือ การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีและตำแหน่งต่างๆ ในกระทรวงและหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลกลาง นอกเหนือไปจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการแต่ละกระทรวงซึ่งได้เสนอชื่อให้วุฒิสภาพิจารณารับรองไปแล้ว นอกจากนี้ยังรวมถึงประกาศให้ขึ้นธงชาติสหรัฐเต็มเสาตามหน่วยงานราชการต่างๆ หลังจากที่ลดธงลงครึ่งเสามานานตั้งแต่ช่วงต้นเดือน เพื่อไว้อาลัยการถึงแก่อสัญกรรมของอดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์
อภัยโทษสุดซอยพวกบุกรัฐสภา 1,500 คน
ทันทีที่ทรัมป์เดินทางมาถึงห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว หลังเวลา 19.00 น. วันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น คำสั่งฝ่ายบริหารฉบับแรกที่ทรัมป์ลงนามที่ทำเนียบขาวก็คือ "การอภัยโทษให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องราว 1,500 คน" ในเหตุการณ์โจมตีอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 เพื่อต่อต้านชัยชนะของไบเดนในขณะนั้น
ทรัมป์กล่าวว่ามีบางกรณีที่อาจไม่ได้รับการอภัยโทษอย่างสมบูรณ์ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ โดยกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี ในการให้อภัยโทษครั้งนี้ได้ครอบคลุมถึงสมาชิกกลุ่ม Oath Keepers ซึ่งเป็นสมาชิกฝ่ายขวาจัดกว่า 12 คน ซึ่งหลายคนได้รับโทษหนักที่สุด นอกจากนี้ยังคาดว่าจะรวมถึงนายเอ็นริเก ทาร์ริโอ อดีตหัวหน้ากลุ่มขวาจัด Proud Boys ซึ่งกำลังรับโทษจำคุก 22 ปี หลังจากถูกตัดสินในเดือนพ.ค. 2023 ว่ามีความผิดในข้อกล่าวหาต่างๆ รวมถึงสมคบคิดปลุกระดม โดยทาร์ริโออาจได้รับการอภัยโทษหรือลดโทษลงมา
เลื่อนการใช้กม.แบน 'ติ๊กต๊อก' 75 วัน
ในบรรดาคำสั่งฝ่ายบริหารที่ทรัมป์ได้ลงนามไปนั้น ยังได้รวมถึงคำสั่งต่อกระทรวงยุติธรรมไม่ให้บังคับใช้กฎหมายแบนแพลตฟอร์ม "ติ๊กต๊อก" (TikTok) เป็นเวลา 75 วัน จากเดิมที่กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันเสาร์ และทำให้เกิดภาวะจอดับไปราว 12 ชม. ก่อนที่จะกลับมาให้บริการได้อีกครั้งเพราะทรัมป์
ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่าประธานาธิบดีมีอำนาจทางกฎหมาย ในการชะลอกฎหมายที่พรรคการเมืองทั้งสองพรรคผ่านออกมาเมื่อปีก่อนได้หรือไม่ โดยกฎหมายฉบับนี้เกี่ยวเนื่องกับปัญหาความมั่นคงของชาติ และศาลฎีกาได้ตัดสินแบนติ๊กต๊อกตามกฎหมายฉบับนี้ 3 วันวันก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง กฎหมายนี้เปิดทางให้ประธานาธิบดีสามารถชะลอการบังคับใช้ได้ 90 วัน หากมีความคืบหน้าเรื่องการขายกิจการเกิดขึ้นภายในวันที่ 19 ม.ค. ซึ่งเป็นวันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้
สั่งเจ้าหน้าที่รัฐกลับมาทำงาน 'เต็มเวลา'
เมื่อช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. วันจันทร์ก่อนที่จะเดินทางไปทำเนียบขาวนั้น ทรัมได้ไปกล่าวปราศรัยต่อฝูงชนผู้สนับสนุนในแคปิทัลวัน อารีนา โดยได้ลงนามคำสั่งหลายฉบับต่อหน้าฝูงชน หนึ่งในนั้นคือ คำสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกลับมาทำงาน "เต็มเวลา" และให้มีผลทันที รวมถึงคำสั่งระงับการจ้างงานเพิ่มทั้งหมดในหน่วยงานของรัฐบาลกลาง ยกเว้นกองทัพและบางหน่วยงานที่ได้รับการยกเว้น
ทรัมป์ยังลงนามในคำสั่งถึงทุกแผนกและหน่วยงานในรัฐบาลกลางเพื่อแก้ไขปัญหา "เงินเฟ้อ" ด้วย นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งให้รัฐบาลกลางฟื้นฟู "เสรีภาพในการพูด" และ "ป้องกันไม่ให้มีการเซ็นเซอร์ของรัฐบาล" ต่อไป
และคำสั่งสุดท้ายที่เขาลงนามที่แคปิตอลวัน อารีนา ก็คือคำสั่งที่มุ่งยุตินโยบายของรัฐบาลไบเดน ซึ่งทรัมป์ระบุว่ารัฐบาลของไบเดนนำมาใช้เป็นอาวุธทางการเมืองต่อฝ่ายตรงข้ามที่เป็นรัฐบาลชุดเก่า ซึ่งก็คือรัฐบาลของตนเองในช่วงวาระการดำรงตำแหน่งครั้งแรก
เริ่มปราบปรามผู้อพยพ-คุมเข้มชายแดน
"ผู้อพยพ" เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่สุดและได้รับการจับตามองมากที่สุด ซึ่งทรัมป์ก็ได้เริ่มใช้อำนาจประธานาธิบดีตั้งแต่วันแรกด้วยการลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร ลุยปราบปรามผู้อพยพลักลอบเข้าเมืองอย่างเข้มงวด, มอบหมายให้กองทัพบังคับใช้กฎหมายดูแลชายแดน, กำหนดให้กลุ่มค้ายาและแก๊งค์ต่างๆ เป็นกลุ่มก่อการร้าย และปิดรับการขอสถานะผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัย
ทรัมป์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติที่ชายแดนทางใต้ พร้อมทั้งสั่งให้กระทรวงกลาโหมส่งทหารเข้าไปในพื้นที่ให้มากขึ้น โดยมอบหมายให้ส่งทหารเข้าไปประจำการเพิ่มเติมในพื้นที่ชายแดน
ทรัมป์ยังสั่งให้เจ้าหน้าที่เริ่มสร้าง "กำแพงกั้นชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก" อีกครั้ง ในโครงการมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ซึ่งเขาเคยผลักดันมาแล้วในช่วงการดำรงตำแหน่งวาระแรก แต่ถูกประธานาธิบดีไบเดนสั่งระงับในเวลาต่อมา ก่อนจะกลับมาเริ่มสร้างใหม่อีกครั้งในปี 2023 ตามแนวชายแดนในรัฐเท็กซัส ซึ่งมีเหตุการณ์เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทั้งนี้ในช่วงรัฐบาลทรัมป์วาระแรก มีการสร้างกำแพงกั้นประมาณ 450 ไมล์ตามแนวชายแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ ระหว่างปี 2017 ถึงม.ค. 2021
ยกเลิกสถานะพลเมืองโดยกำเนิด
ทรัมป์ยังเคลื่อนไหวเพื่อยกเลิกการตีความบทที่ 14 ในรัฐธรรมนูญสหรัฐที่รับรองไว้เมื่อปี 1868 โดยลงนามในคำสั่งให้หน่วยงานของรัฐบาลกลาง "ปฏิเสธการให้สิทธิพลเมืองโดยกำเนิด" แก่บุตรของพ่อแม่ซึ่งเป็นผู้อพยพที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือผู้ถือวีซ่าชั่วคราว
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐตีความการแก้ไขเพิ่มเติมบทที่ 14 ในรัฐธรรมนูญมานานแล้วว่า สามารถให้สิทธิพลเมืองแก่ผู้ที่เกิดบนผืนแผ่นดินอเมริกา โดยไม่คำนึงถึงสถานะการย้ายถิ่นฐานของพ่อแม่
นอกจากเรื่องนี้ ทรัมป์ยังขับเคลื่อน "โทษประหารชีวิต" สำหรับผู้อพยพอย่างผิดกฎหมายซึ่งก่อเหตุฆาตกรรมเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายสหรัฐ โดยมีคำสั่งให้กระทรวงยุติธรรมใช้โทษประหารชีวิตสำหรับผู้อพยพที่เข้าข่ายนี้