ถอด ‘แนวคิดทรัมป์’ ผ่านสุนทรพจน์ ‘ยุคทองใหม่’ สหรัฐเริ่มขึ้นแล้ว

เปิดแนวคิด ปธน. ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ผู้ประกาศจุดเริ่มต้น ‘ยุคทองใหม่’ สหรัฐผ่านสุนทรพจน์ สะท้อนวิสัยทัศน์การปกครองที่มุ่งเน้นผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก และให้คำมั่นสัญญาจะพาสหรัฐให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง
“ยุคทองของอเมริกากำลังจะเริ่มต้นขึ้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป” นี่คือ วรรคทองในสุนทรพจน์ของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง
ที่ผ่านมา ทรัมป์เผชิญอุปสรรคขวากหนามมานับไม่ถ้วน ถูกคดีการเมืองมากมายจนหลายคนมองว่า อนาคตทางการเมืองของเขาอาจถึงคราวจบสิ้นลงแล้ว แต่จากผลการเลือกที่ผ่านมา ทรัมป์กวาดชัยชนะใน 7 รัฐสวิงสเตตได้ทั้งหมด จนคว้าชัยเลือกตั้งเป็นผู้นำสูงสุดของสหรัฐในสมัยที่สอง
ในเนื้อความสุนทรพจน์ที่ยาวเกือบ 30 นาที ทรัมป์แสดงความเชื่อมั่นในแนวการปกครองที่เน้น “American First” หรือ “เน้นผลประโยชน์ของชาติ” เป็นหลัก ซึ่งต่อจากนี้ข้างล่างคือ ใจความหลักของแนวคิดต่างๆ ที่ทรัมป์ชูธงบริหารประเทศนับต่อจากนี้
เปิดเสรีภาพทางการแสดงออก
ทรัมป์สัญญาว่าจะนำ “เสรีภาพในการพูด” กลับคืนมา โดยยุติการเซนเซอร์จากรัฐบาล ซึ่งระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยี เช่น อีลอน มัสก์, มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก และเจฟฟ์ เบโซส ได้นั่งอยู่แถวหน้าก่อนคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของทรัมป์
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ซักเคอร์เบิร์ก ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท Meta ซึ่งดูแลโซเชียลมีเดีย Facebook และ Instagram ได้ปรับตัวตามแนวคิดทรัมป์ โดยเปลี่ยนนโยบายแพลตฟอร์มครั้งใหญ่ ยกเลิกการขึ้นธงตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือ Fact-Checking และให้ความสำคัญกับเสรีภาพแทน
ซักเคอร์เบิร์ก ระบุว่า ก่อนหน้านั้นที่เข้มงวดกับความเที่ยงตรงของข้อมูล ก็มีโพสต์จำนวนหนึ่งที่ถูกปิดกั้น และถูกโปรแกรมเข้าใจผิดว่าไม่เหมาะสม อีกทั้งถูกสังคมวิจารณ์ว่าเป็นการเซนเซอร์เนื้อหา
Meta จึงหันกลับมาที่ Free Speech หรือ เสรีภาพการแสดงความเห็น เป็นอันดับแรก ซึ่งจะช่วยลดการถูกปิดกั้นโพสต์ลง เปิดกว้างการแสดงความคิดเห็น แต่ขณะเดียวกัน ก็ทำให้โพสต์ที่ไม่เหมาะสม และข่าวปลอมสุ่มเสี่ยงแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น
อย่าให้เชื้อชาติ-เพศ กำหนดทุกด้านของชีวิต
ในสุนทรพจน์ ทรัมป์ประกาศว่า นโยบายทางการของรัฐบาลมีเพียงสองเพศ ได้แก่ ชายและหญิง โดยเขาปฏิญาณตนว่า จะ “ขัดขวางความพยายาม” ที่จะออกแบบสังคมโดยมีเชื้อชาติ และเพศเป็นตัวกำหนดทุกด้านของชีวิตสาธารณะ และส่วนตัว
ทรัมป์ใช้คำว่า “colour-blind and merit-based” ซึ่งหมายถึง ทรัมป์สนับสนุนให้สังคมตัดสินการจ้างงาน การศึกษา หรือโอกาสอื่นๆ โดยไม่ใช่จากอิทธิพลทางเชื้อชาติหรือเพศ แต่จะพิจารณาจากความสามารถ และผลงานของแต่ละบุคคลแทน
การเปลี่ยนแปลงนี้ค่อนข้างต่างจากยุคไบเดน ที่ต้องการให้คณะรัฐมนตรีมาจากหลากหลายอัตลักษณ์ อย่างการตั้งคามาลา แฮร์ริส ขึ้นเป็นรองประธานาธิบดี ซึ่งเธอเป็นลูกครึ่งอินเดีย และมีเชื้อสายเอเชีย, นายพลลอยด์ ออสติน เป็นรัฐมนตรีกลาโหมคนแรกของอเมริกาที่เป็นคนผิวสี, เด็บ ฮาแลนด์ รัฐมนตรีมหาดไทย ซึ่งเป็นคนอเมริกันพื้นเมืองหรืออินเดียนแดง, จินา ไรมอนโด รัฐมนตรีพาณิชย์ที่เป็นผู้หญิง, พีท บูดิเจจ รัฐมนตรีคมนาคม ซึ่งเป็น LGBT ฯลฯ
รวมถึงก่อนหน้านั้น กระแสความหลากหลายทางเพศที่แผ่อิทธิพลในยุคไบเดน ได้ทำให้ภาพยนตร์ดังหลายเรื่องปรับตัวละครหลักให้เป็นผิวสีแทน แม้ว่าบางส่วนจะวิจารณ์ว่า ไม่ค่อยเหมาะสมกับคาแรกเตอร์ที่ควรจะเป็น เช่น หนัง Snow White 2025, The Little Mermaid, The Marvels ฯลฯ
ยึดคลองปานามากลับคืนมา
ทรัมป์ กล่าวหาว่า “ปานามา” ไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับสหรัฐ เงื่อนไขและจิตวิญญาณของข้อตกลงระหว่างสองประเทศนั้นถูกละเมิดอย่างรุนแรง อีกทั้งเรือของสหรัฐถูกคิดค่าบริการเกินความเป็นจริง และไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม
ทรัมป์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “จีน” กำลังมีอิทธิพลเหนือคลองปานามา ซึ่งสหรัฐไม่เคยให้คลองนั้นกับจีน แต่ได้ให้กับปานามา และเขาต้องการที่จะนำคลองกลับคืนมา
ทั้งนี้ “คลองปานามา” เป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญ ที่เชื่อมการขนส่งสินค้าระหว่างทวีปเอเชีย และสหรัฐ รวมถึงระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรแอตแลนติก โดยคิดเป็นสัดส่วน 6% ของการค้าทางทะเลโลก
การสำรวจอวกาศจะกลับมายิ่งใหญ่
“สหรัฐจะกลับมาเป็นประเทศที่เติบโตอีกครั้ง หนึ่งในประเทศที่เพิ่มพูนความมั่งคั่ง ขยายดินแดน สร้างเมือง ยกระดับความคาดหวัง และนำแผนของเราไปสู่ขอบฟ้าใหม่ที่งดงาม เราจะดำเนินตามโชคชะตาอันยิ่งใหญ่เพื่อไปสู่ดวงดาว โดยปล่อยนักบินอวกาศอเมริกันขึ้นไปปัก ‘ธงชาติสหรัฐ’ บนดาวอังคาร”
หลังจากได้ยินสุนทรพจน์นี้ เหล่าผู้เข้าร่วมฟัง และอีลอน มัสก์ เจ้าของบริษัทสำรวจอวกาศ SpaceX ก็ตอบรับด้วยเสียงปรบมืออันกึกก้อง และยกนิ้วโป้งให้ ซึ่งนับเป็นการจุดประกายให้เกิดการแข่งขันด้านอวกาศอีกครั้ง คล้ายคลึงกับยุคสงครามเย็นที่สหรัฐ และสหภาพโซเวียตเคยขับเคี่ยวกันในการส่งมนุษย์ขึ้นไปบนดวงจันทร์ โดยในปัจจุบัน “ชาติที่ 2” ของโลกที่ส่งยานอวกาศไปลงดาวอังคารได้สำเร็จต่อจากสหรัฐ คือ “จีน”
หนุนขุดเจาะน้ำมัน เพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ
ทรัมป์ประกาศว่าจะสนับสนุนให้อเมริกาผลิตพลังงานใช้เอง เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ โดยกล่าวในสุนทรพจน์ว่า
“ผมจะสั่งการให้คณะรัฐมนตรีทุกคนใช้ทรัพยากรและอำนาจที่มีอยู่อย่างเต็มที่ เพื่อเอาชนะเงินเฟ้อที่เคยทำลายสถิติ และเร่งลดต้นทุนสินค้าให้ลงอย่างรวดเร็ว วิกฤติเงินเฟ้อเกิดจากการใช้จ่ายเกินตัวอย่างมหาศาล และราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น และนั่นคือ เหตุผลที่วันนี้ ผมจะประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ เราจะขุดเจาะพลังงานเต็มที่ ไม่มีหยุด!”
“อเมริกาจะกลับมาเป็นชาติแห่งการผลิตอีกครั้ง เรามีสิ่งที่ไม่มีชาติผู้ผลิตใดในโลกจะมีได้ นั่นคือ ปริมาณน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติมากที่สุดในโลก และเราจะใช้ทรัพยากรนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
“เราจะลดราคาสินค้าลง เติมคลังสำรองพลังงานของเราให้เต็มอีกครั้งจนถึงจุดสูงสุด และส่งออกพลังงานของอเมริกาไปทั่วโลก เราจะกลับมาเป็นชาติที่ร่ำรวยอีกครั้ง และทรัพย์สมบัติที่มีค่าใต้พื้นดินของเราอย่าง ‘ทองคำเหลว’ นั้น จะช่วยให้เราทำสำเร็จ”
ลงดาบผู้อพยพผิดกฎหมาย-แก๊งค้ายา
ที่ผ่านมา คนอเมริกันเผชิญปัญหาผู้อพยพ “แบบผิดกฎหมาย” ที่หลั่งไหลเข้ามามากมาย ซึ่งเมื่อไม่ได้มีการคัดกรองอย่างเข้มงวด บางส่วนได้เข้ามาก่ออาชญากรรม รวมถึงเข้ามารับประโยชน์สวัสดิการรัฐต่างๆ โดยที่ไม่ได้เสียภาษีเหมือนคนอเมริกัน
“การเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายทั้งหมดจะถูกหยุดลงทันที และเราจะเริ่มกระบวนการส่งตัวผู้อพยพที่เป็นอาชญากรนับล้าน ๆ คนกลับไปยังประเทศต้นทางของพวกเขา” ทรัมป์ กล่าวในสุนทรพจน์
นอกจากนี้ ตามชายแดนระหว่างสหรัฐ-เม็กซิโก มีการระบาดของยาเสพติด “เฟนทานิล” (Fentanyl) ซึ่งมีฤทธิ์แรงกว่าเฮโรอีนถึง 50 เท่า และคร่าชีวิตชาวอเมริกันปีละเกือบแสนคน
ทรัมป์ประกาศว่า “ภายใต้คำสั่งที่ผมลงนามในวันนี้ เราจะกำหนดให้กลุ่มค้ายาเป็นองค์กรก่อการร้ายต่างชาติ”
“ด้วยการอ้างอิงถึง Alien Enemies Act ปี 1798 ผมจะสั่งการให้รัฐบาลของเราใช้อำนาจทั้งหมดของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั้งในระดับรัฐบาลกลาง และระดับรัฐ เพื่อกำจัดการมีอยู่ของแก๊งต่างชาติ และเครือข่ายอาชญากรรมทั้งหมดที่นำภัยอันร้ายแรงมาสู่แผ่นดินสหรัฐ รวมถึงในเมืองใหญ่ และพื้นที่ใจกลางเมืองของเรา”
หยุดสงคราม-ช่วยตัวประกันออกมา
สำหรับมุมมองนโยบายต่างประเทศ ทรัมป์มีแนวคิดว่า อเมริกาไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามที่ไม่มีความจำเป็น และวิจารณ์ถึงภาษีชาวอเมริกันที่ถูกส่งไปช่วยยูเครนจำนวนมาก โดยประกาศว่าจะยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนภายใน 24 ชั่วโมง ทว่าหลังจากนั้น ทรัมป์กล่าวว่า สงครามนี้อาจต้องใช้เวลาราว 6 เดือน ซึ่งทรัมป์เอ่ยว่าจะเตรียมนัดประชุมกับ วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียในเร็วๆ นี้ เพื่อหาข้อยุติสงคราม
ในขณะเดียวกัน ตัวประกันบริสุทธิ์ที่ถูกกลุ่มฮามาสจับตัวไป ทรัมป์ประกาศลั่นจะใช้ไม้แข็งจัดการกลุ่มฮามาสนี้อย่างเด็ดขาด หากฮามาสไม่ปล่อยตัวประกันทั้งหมด
“เราจะเป็นชาติที่ไม่เหมือนใคร เต็มไปด้วยความเมตตา ความกล้าหาญ และความเป็นเลิศ อำนาจของเราจะยุติสงครามทั้งหมด และนำจิตวิญญาณแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันมาสู่โลกที่เต็มไปด้วยความโกรธ ความรุนแรง และความไม่แน่นอน อเมริกาจะกลับมาได้รับความเคารพ และชื่นชมอีกครั้ง”
“สิ่งที่ผมภูมิใจที่สุดที่จะเป็นมรดกของผมคือ การเป็นผู้สร้างสันติภาพและผู้รวมความเป็นหนึ่งเดียว นั่นคือ สิ่งที่ผมต้องการเป็น ผู้สร้างสันติภาพ และผู้รวมความสามัคคี ผมยินดีที่จะบอกว่า หนึ่งวันก่อนที่ผมจะเข้ารับตำแหน่ง ตัวประกันในตะวันออกกลางกำลังเดินทางกลับบ้านสู่ครอบครัวของเราแล้ว”
“เราจะสร้างกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมาอีกครั้ง เราจะวัดความสำเร็จของเรา ไม่เพียงแค่จากชัยชนะในสมรภูมิ แต่ยังจากสงครามที่เรายุติได้ และที่สำคัญที่สุด อาจจะเป็นสงครามที่เราไม่ต้องเข้าสู้ตั้งแต่แรก” ทรัมป์ กล่าว
กล่าวถึงการถูกลอบสังหาร
นอกจากทรัมป์จะถูกคดีทางการเมืองแล้ว เขายังผ่านเหตุการณ์เฉียดถึงแก่ชีวิตมาหลายครั้ง หนึ่งในนั้นคือ การถูกลอบสังหารขณะขึ้นเวทีหาเสียงเมื่อ 13 ก.ค.2024 ที่รัฐเพนซิลเวเนีย โดยเคราะห์ดีที่ทรัมป์อยู่ในจังหวะที่หันไปมองจอภาพปราศรัยนั้นพอดี ทำให้วิถีกระสุนเฉี่ยวโดนใบหูแทนส่วนที่สำคัญที่สุดของร่างกาย
“คนที่ต้องการขัดขวางภารกิจของเราได้พยายามพรากเสรีภาพของผม และถึงขั้นพยายามเอาชีวิตของผมไป เพียงไม่กี่เดือนก่อนนี้ ในทุ่งอันงดงามแห่งหนึ่งในรัฐเพนซิลเวเนีย กระสุนของมือสังหารได้พุ่งเฉียดผ่านหูของผม แต่ในตอนนั้นผมรู้สึก และในตอนนี้ยิ่งเชื่อมั่นมากขึ้นว่า ชีวิตของผมถูกช่วยไว้เพื่อเหตุผลบางอย่าง ผมเชื่อว่าพระเจ้าได้ช่วยชีวิตผมไว้ เพื่อทำให้ ‘อเมริกากลับมายิ่งใหญ่’ ขึ้นอีกครั้ง”
อ้างอิง: reuters, euron, bbc, apnews
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์