‘ทรัมป์-เซเลนสกี’ เจอกันแล้วที่ปารีส มาครงจัดให้!

ว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส และประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน หารือกันในกรุงปารีส ก่อนพิธีเปิดมหาวิหารน็อทร์ดามที่ได้รับการฟื้นฟูบูรณะ
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง จัดการประชุมสามฝ่ายเมื่อวันเสาร์ (7 ธ.ค.) ก่อนพิธีเปิดมหาวิหารน็อทร์ดาม
ประธานาธิบดีเซเลนสกี กล่าวว่า การประชุมเป็นไป “ด้วยดีและเกิดผล” ผู้นำทั้งสามเห็นชอบทำงานร่วมกัน
“ประธานาธิบดี ทรัมป์ แน่วแน่เช่นเคย ผมขอบคุณเขา เราทุกคนต่างต้องการให้สงครามนี้ยุติเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยวิถีทางที่ชอบธรรม” เซเลนสกีโพสต์ผ่านแพลตฟอร์ม X
ทั้งนี้ ผู้นำยูเครนและยุโรปกังวลว่า ทรัมป์ผู้จะรับตำแหน่งในเดือนหน้า อาจถอนความช่วยเหลือทางทหารที่สหรัฐมีให้กับยูเครนในช่วงเวลาสำคัญที่รัฐบาลเคียฟต้องต่อสู้ขับไล่รัสเซีย
สำหรับทรัมป์นี่เป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรกนับตั้งแต่ชนะเลือกตั้งเมื่อเดือที่ผ่านมา การมาเยือนปารีสเป็นโอกาสให้มาครงได้แสดงบทบาทเป็นคนกลางเชื่อมยุโรปกับผู้นำใหม่ของสหรัฐ อย่างที่เขาชื่นชอบในอดีต
มาครงสนับสนุน นาโต และการสู้รบของยูเครนอย่างแข็งขัน ขณะที่ทรัมป์รู้สึกว่าชาติยุโรปต้องจ่ายงบประมาณป้องกันประเทศร่วมกันให้มากกว่านี้ และว่า จำเป็นต้องเจรจาตกลงกันเพื่อสิ้นสุดสงครามยูเครน
โมเมนต์แรกพบ
เมื่อมาถึงพระราชวังเอลิเซ ทรัมป์กล่าวกับมาครงว่า สมัยแรกที่เขาเป็นประธานาธิบดีพวกเขาทำงานกัน “ประสบผลสำเร็จยิ่ง”
“และดูเหมือนว่าตอนนี้โลกเพี้ยนไปเล็กน้อย แล้วเราจะได้หารือกันในเรื่องนั้น” ทรัมป์กล่าว
ทรัมป์จับมือแน่นกับเซเลนสกีและตบหลังเขาต่อหน้ามาครงที่ยืนอยู่ตรงกลาง โดยที่ทรัมป์ยิ้มให้กับกล้อง การพบกันของสามชายกินเวลาราว 20 นาที
นายเฮเธอร์ คอนลีย์ ที่ปรึกษาอาวุโสคณะกรรมการมูลนิธิเยอรมัน มาร์แชล ซึ่งส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับยุโรป กล่าวกับรอยเตอร์สว่า การเชิญทรัมป์มาเปิดมหาวิหารน็อทร์ดาม มาครงใช้กลยุทธ์ส่วนตัวที่ประสบความสำเร็จระดับหนึ่งช่วงทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก
“นายมาครงรู้ว่านายทรัมป์ชอบความโอ่อ่าอลังการก็เลยจัดเต็ม” คอนลีย์กล่าว
ทรัมป์ ผู้มีกำหนดสาบานตนในวันที่ 20 ม.ค. ได้หารือกับผู้นำโลกแล้วจำนวนหนึ่ง ทีมงานของเขาก็พยายามเร่งมือในวิกฤติโลกหลายเรื่อง เช่น ยูเครนและตะวันออกกลาง
งานใหญ่ระดับโลก
ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน อยู่ในอำนาจตอนที่น็อทร์ดามถูกไฟไหม้ใหญ่ในปี 2019 และเคยมาเยือนฝรั่งเศสสี่ครั้งระหว่างดำรงตำแหน่งปี 2017-2021 รวมถึงงานรำลึกวันดีเดย์เมื่อปี 2019
“โดยสัญลักษณ์ทั้งการเป็นประธานาธิบดีของนายทรัมป์และน็อทร์ดามกลับมาอีกครั้งในเวลาเดียวกัน การมาเยือนปารีสของเขายังเปิดฉากตอกย้ำการหวนคืนสู่เวทีโลก บดบังช่วงสุดท้ายของรัฐบาลไบเดนมากยิ่งขึ้นไปอีก” คอนลีย์กล่าว โดยจิล ไบเดน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งเป็นตัวแทนสหรัฐมาร่วมงานน็อทร์ดาม
ด้านดัก เฮย์ นักกลยุทธ์พรรครีพับลิกัน กล่าวว่า ทรัมป์แสดงตัวเหมือนรัฐบุรุษในปารีส
"นี่ไม่ใช่งานที่มาร์อลาโก นี่เป็นงานใหญ่สุดของโลก และเขายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้นำคนอื่นๆ"
สำหรับมาครงที่ถูกวิกฤติการเมืองภายในรุมเร้าสภาโค่นนายกฯ ในสัปดาห์นี้ เคยใช้แนวทางไม่เผชิญหน้ากับทรัมป์ในสมัยแรก ด้วยหวังว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับทรัมป์อาจชนะใจได้
แต่เมื่อเวลาผ่านไป การตัดสินใจนโยบายว่าด้วยสภาพภูมิอากาศ ภาษี โดยเฉพาะเรื่องอิหร่านทำให้เกิดรอยร้าวระหว่งสองผู้นำ สุดท้ายกลายเป็นแตกคอกันมากขึ้น
รัฐบาลทรัมป์สมัยสองอาจมีข้อขัดแย้งเรื่องที่ทรัมป์ต้องการเก็บภาษีหว่านแหกับยุโรปและคู่ค้าอื่นๆ และความเห็นไม่ตรงกันเรื่องการจัดการความขัดแย้ง ยูเครน-รัสเซีย
มาครงเคยเชิญทรัมป์ไปร่วมขบวนสวนสนามประจำปีในวันบาสตีย์ที่กรุงปารีส เมื่อเดือน ก.ค.2017สร้างแรงบันดาลใจให้ทรัมป์สั่งจัดขบวนสวนสนามในกรุงวอชิงตันเพื่อเฉลิมฉลองวันประกาศอิสรภาพของอเมริกาในปี 2019
ทรัมป์เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำของมาครงที่ทำเนียบขาวในปี 2018แต่หนึ่งปีต่อมา ทั้งสองก็ทะเลาะกันเรื่องที่มาครงแสดงความเห็นต่อสถานะของนาโต
“ทรัมป์มาปารีสถือเป็น ‘ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่’ของเอ็มมานูเอล มาครง การมีความสัมพันธ์โดยตรงกับบุคคลเพียงคนเดียวในรัฐบาลทรัมป์ซึ่งก็คือตัวทรัมป์เองเป็นสิ่งที่ไม่ทำไม่ได้” เจอราร์ด อาโรด์ อดีตทูตฝรั่งเศสประจำวอชิงตันกล่าว