'สะพานบัลติมอร์ถล่ม' โลจิสติกส์ชะงัก บริษัทประกันภัยอาจสูญเงิน 1.5 แสนล้านบาท

'สะพานบัลติมอร์ถล่ม' โลจิสติกส์ชะงัก บริษัทประกันภัยอาจสูญเงิน 1.5 แสนล้านบาท

เหตุสะพานในเมืองบัลติมอร์ถล่ม หลังเรือขนส่งสินค้าพุ่งชน อาจทำให้บริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้องต้องสูญเงินรวมกันเกือบ 150,000 ล้านบาท ! นักวิเคราะห์คาด ค่าก่อสร้างสะพานใหม่อาจสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท

หลังเรือขนส่งสินค้าที่ชื่อ “ดาลี” เกิดเหตุขัดข้องขณะออกจากท่าเรือบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ในสหรัฐ จนพุ่งชนเสาตอม่อสะพานฟรานซิส สกอตต์ คีย์ (Francis Scott Key Bridge) ช่วงเวลาประมาณ 01.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ในวันอังคาร (26 มี.ค.) จนทำให้สะพานพังถล่ม มีรายงานว่าวันเกิดเหตุ มีแรงงานก่อสร้างบนสะพานอยู่ 8 คน ซึ่งหลังจากสะพานถล่ม เจ้าหน้าที่สามารถช่วยแรงงานได้ 2 คน จึงคาดว่าผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 6 ราย ในเหตุการณ์นี้

ล่าสุดบีบีซีรายงานวันนี้ว่า เจ้าหน้าที่พบร่างผู้เสียชีวิตจากเหตุสะพานถล่ม 2 ราย อยู่ในรถกระบะสีแดงที่จมอยู่ใต้น้ำ และจะปฏิบัติการค้นหาเหยื่ออีก 4 รายต่อไป

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อสะพาน รวมถึงชีวิตผู้คนที่สัญจรบนสะพานขณะเกิดเหตุเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อบริษัทประกันขนส่ง และการขนส่งของท่าเรือบัลติมอร์ที่นำเข้า-ส่งออกยานยนต์และสินค้าประเภทอื่น ๆ เป็นอันดับต้น ๆ ของสหรัฐ

บริษัทประกันภัยอ่วม

รอยเตอร์อ้างอิงคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ เผยว่า สะพานฟรานซิส สกอตต์ คีย์ถล่ม อาจทำให้บรรดาบริษัทประกันภัยต้องเสียเงินค่าสินไหมรวมกันหลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจสูงถึง 4,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.46 แสนล้านบาท นับเป็นโศกนาฏกรรมที่สูญเสียเงินประกันด้านการขนส่งมากเป็นประวัติการณ์

มาร์กอส อัลวาเรซ กรรมการผู้จัดการฝ่ายจัดอันดับการประกันภัยทั่วโลกของมอร์นิง สตาร์ อีบีอาร์เอส เผยว่า จากระยะเวลาปิดท่าเรือ และจากเงื่อนไขการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (business interruption coverage) ของท่าเรือบัลติมอร์ บริษัทประกันอาจสูญเสียเงิน 2,000 - 4,000 ล้านดอลลาร์ มากกว่าการสถิติการสูญเงินของบริษัทประกันภัยจากเหตุเรือสำราญหรู Costa Concordia ล่มในปี 2555

ด้านอิมแพลน (IMPLAN) บริษัทวิเคราะห์เศรษฐกิจด้วยซอฟต์แวร์ คาดการณ์ว่า ค่าก่อสร้างสะพานของรัฐบาลอาจอยู่ที่ระดับ 600 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.18 หมื่นล้านบาท) และการปิดท่าเรือเป็นเวลา 1 เดือน อาจทำให้รัฐแมริแลนด์สูญเสียรายได้ 28 ล้านดอลลาร์

การจราจรขนส่งต้องเปลี่ยนเส้นทาง

พอล บราเชียร์รองประธานฝ่ายการขนส่งของไอทีเอส โลจิสติกส์เผยว่าลูกค้าต้องเปลี่ยนเส้นทางขนส่งจากบัลติมอร์ไปยังท่าเรืออื่น ๆ ในชายฝั่งทะเลตะวันออก ซึ่งการเปลี่ยนจุดหมายปลายทางจะส่งผลกระทบต่อท่าเรือในนิวยอร์ก/นิวเจอร์ซี, นอร์ฟอล์ก และท่าเรือทางตะวันออกเฉียงใต้

ดีอังเดร แลร์รี หัวหน้าฝ่ายขนส่งสินค้าของอูเบอร์ เฟรทเตือนว่า เหตุสะพานถล่มอาจทำให้ท่าเรือปิดบริการไปอีกหลายเดือน ส่งผลให้การขนส่งเปลี่ยนเส้นทางไปยังท่าเรือในยิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์เป็นอันดับแรก รองลงมาเป็นนอร์ฟอล์ก และเวอร์จิเนีย ส่วนท่าเรืออื่น ๆ อาจมีท่าเรือในรัฐจอร์เจีย และรัฐเซาท์แคโรไลนา

ตามข้อมูลของเวส มัวร์ ผู้ว่าการรัฐบาลรัฐแมริแลนด์ ระบุว่า ท่าเรือบัลติมอร์มีการขนส่งสินค้าต่างประเทศมากกว่า 52 ล้านตัน มูลค่าราว 80,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2566

ท่าเรือนี้นำเข้าและส่งออกสินค้าประเภทรถยนต์และรถบรรทุกขนาดเล็กอันดับต้น ๆ ของสหรัฐ รวมถึงขนส่งยานพาหนะที่ใช้ในฟาร์มและเครื่องจักรด้านการก่อสร้าง โดยเมื่อปีก่อนท่าเรือแห่งนี้รองรับการขนส่งรถยนต์และรถบรรทุกขนาดเล็ก 847,158 คันมูลค่า 23,000 ล้านดอลลาร์และส่งออกมอเตอร์ยานยนต์เป็นมูลค่าราว 4,800 ล้านดอลลาร์ส่วนสินค้าอื่นที่นำเข้าอันดับต้น ๆ มีทั้งน้ำตาลและยิปซัม

ทางด้านแอนดี ลิโปว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท ลิโปว์ ออย แอสโซซิเอตส์ บอกว่า “อุตสาหกรรมน้ำมันจะต้องหาเส้นทางอื่นเพื่อขนส่งซัพพลายน้ำมันทางเรือ แต่ในระยะสั้นอาจทำการขนส่งมาจากเมืองฟิลาเดลเฟียด้วยรถบรรทุกแทน”

แม้การจัดหาเชื้อเพลิงเครื่องบินและน้ำมันดีเซลอาจไม่ได้รับผลกระทบ แต่การเปลี่ยนเส้นทางจะทำให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น