จับตา!จีนประชุมสองสภา ลุ้นออกนโยบายกระตุ้นศก.ครั้งใหญ่

จับตา!จีนประชุมสองสภา ลุ้นออกนโยบายกระตุ้นศก.ครั้งใหญ่

จีนเตรียมจัดการประชุมสองสภา (Two Sessions) ในสัปดาห์นี้ ซึ่งบรรดานักลงทุนต่างจับตาสัญญาณการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด ขณะไอเอ็มเอฟชี้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนฟื้นตัวในปี 2566

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า แม้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของจีนจะเติบโตขึ้น 5.2% ในปี 2566 แต่การฟื้นตัวโดยรวมหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้นช้ากว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ นอกจากนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซาอย่างรุนแรงและเรื้อรัง ประกอบกับดีมานด์สินค้า ส่งออกจีนที่ลดลง ยังส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและธุรกิจอยู่ในระดับต่ำอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดคำถามตามมาว่าทางการจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่หรือไม่ เนื่องจากในตอนนี้ทางการจีนดูเหมือนจะยังคงสงวนท่าทีเอาไว้

นายหวัง จุน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทฮัวไท แอสเสท แมเนจเมนท์ ระบุว่า จีนได้ส่งสัญญาณในเดือนธ.ค.แล้วว่า การออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ ๆ เป็นเรื่องที่ "มีความเหมาะสม" และเสริมว่า "ไม่มีทาง" ที่จะเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่เหมือนในปี 2551

โดยทั่วไป นโยบายเศรษฐกิจของจีนจะถูกกำหนดในการประชุมประจำปีในเดือนธ.ค.โดยเหล่าผู้นำในพรรคคอมมิวนิสต์จีน อย่างไรก็ตาม การประชุมสองสภาในเดือนนี้เป็นการประชุมระดับรัฐบาล แทนที่จะเป็นการประชุมระดับพรรค ซึ่งตามปกติแล้วจะมีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนนโยบาย เช่น เป้าหมายจีดีพีประจำปี

นายหวังกล่าวว่า เขากำลังจับตาดูแผนการของรัฐเกี่ยวกับภาคอสังหาริมทรัพย์ ตลาดทุน และการเงินของรัฐบาลท้องถิ่น

ทั้งนี้ ตอนที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติทางการเงินในปี 2551 จีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่เพื่อรักษาการเติบโต อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น มาตรการดังกล่าวก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่น

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทางการจีนได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการลดความเสี่ยงทางการเงิน และขจัดการพึ่งพาสินเชื่อของบรรดานักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นปัญหาที่มีความเชื่อมโยงกับการเงินของรัฐบาลท้องถิ่น โดยในเวลานี้ นโยบายการเงินของจีนยังเผชิญกับข้อจำกัดต่าง ๆ ว่า นโยบายจะเบี่ยงไปจากเส้นทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้มากน้อยเพียงใด

ด้านคณะกรรมการบริหารของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนดีดตัวขึ้นในปี 2566 หลังกลับมาเปิดประเทศในช่วงหลังการระบาดของโรคโควิด-19 และคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่แท้จริง (real GDP) จะเติบโตตามเป้าหมายของภาครัฐที่ราว 5%

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ไอเอ็มเอฟ ออกแถลงการณ์ข้างต้นในการแถลงข่าวเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากที่มีการทบทวนเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน ภายใต้พันธะข้อ 4 (Article IV Consultation) แห่งข้อตกลงของไอเอ็มเอฟที่มีขึ้นประจำปี

แถลงการณ์ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของไอเอ็มเอฟ ระบุว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะการบริโภคของภาคเอกชน และได้รับการสนับสนุนจากนโยบายเศรษฐกิจมหภาค อาทิ การผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเพิ่มมากขึ้น การลดหย่อนภาษีสำหรับบริษัทและครัวเรือน และการใช้จ่ายทางการคลังเพื่อการบรรเทาภัยพิบัติ

แถลงการณ์ระบุว่า แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงในปี 2566 โดยมีสาเหตุหลักจากราคาพลังงานและอาหารที่ปรับตัวลดลง แต่คาดว่าจะค่อย ๆ ขยับเพิ่มขึ้นเป็น 1.3% ในปี 2567 เนื่องจากช่องว่างการผลิต (output gap) ลดลง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงจากการเปรียบเทียบกับฐานที่สูงในช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า (Base Effect)

แถลงการณ์ระบุด้วยว่า การดำเนินการนโยบายอย่างเด็ดขาด อันรวมถึงการเร่งปรับโครงสร้างภาคอสังหาริมทรัพย์ อาจช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและนำไปสู่การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนที่ดีกว่าที่คาดไว้

ทั้งนี้ คณะทำงานของไอเอ็มเอฟได้เดินทางเยือนจีนระหว่างวันที่ 26 ต.ค. ถึง 7 พ.ย. 2566 เพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับพันธะข้อ 4 ประจำปี 2566 โดยได้ปรึกษาหารืออย่างสร้างสรรค์กับเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลจีนและธนาคารกลางจีน รวมถึงผู้แทนจากภาคเอกชนและนักวิชาการ เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มและความเสี่ยงของเศรษฐกิจจีน ตลอดจนความคืบหน้าและความท้าทายในการปฏิรูปเศรษฐกิจ และการรับมือเชิงนโยบาย