รู้ลึก นายพลสายดาร์ก ‘ปราโบโว’ ว่าที่ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ‘สหรัฐ’ เคยแบน

รู้ลึก นายพลสายดาร์ก ‘ปราโบโว’ ว่าที่ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย  ‘สหรัฐ’ เคยแบน

ประชาธิปไตยอินโดนีเซียกำลังถูกท้าทายจริงหรือ เมื่อ “ปราโบโว สุเบียนโต” จ่อเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ ครั้งหนึ่งคือ “นายพลน่าเกรงขาม” เคยถูกสหรัฐสั่งห้ามเข้าประเทศ ตอนนี้มาในภาพลักษณ์ใหม่ “คุณปู่ผู้น่ารัก”

“จอห์น มูฮัมหมัด” นักเคลื่อนไหวที่มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ประท้วงปี 1998 นำโดยกลุ่มนักศึกษา ซึ่งได้ยุติการปกครองภายใต้ ประธานาธิบดีซูฮาร์โต ที่ยาวนาน 32 ปี และเปิดศักราชใหม่ให้กับการปฏิรูปประชาธิปไตยอินโดนีเซีย

หากแต่ตอนนี้ จอห์นแสดงความกังวลต่ออนาคตระบอบประชาธิปไตยของประเทศตนเอง เพราะปราโบโว หนึ่งในนายพลที่น่าเกรงขามที่สุดและอดีตลูกเขยของซูฮาร์โต ดูเหมือนกำลังจะมาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่

ปราโบโว รัฐมนตรีกลาโหมประกาศชัยชนะเมื่อคืนวันพุธ (14 ก.พ.) หลังนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ แสดงให้เห็นว่าเขาได้คะแนนเสียงมากกว่า 50% นำหน้าคู่แข่งทั้งสองคนอย่าง อานีส บาสวีดัน อดีตผู้ว่าฯจาการ์ตา และกันจาร์ ปราโนโว ผู้สมัครจากพรรครัฐบาล

“ถ้าปราโบโวเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป จะปลุกคนจำนวนมากให้กล้าหาญ เพราะจะไม่มีใครยอมถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอีกแล้ว ที่ผ่านมาปราโบโวหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาได้ทั้งหมด และพยายามปกปิดมันไว้”มูฮัมหมัดกล่าว และเล่าถึงเหตุการณ์กองกำลังพิเศษ Kopassus ภายใต้การบังคับบัญชาของปราโบโว สั่งเข้าปราบปรามการประท้วงที่มหาวิทยาลัย Trisakti ในกรุงจาการ์ตา เมื่อเดือน พ.ค.1998

ในครั้งนั้น มีนักศึกษา 4 คนถูกสังหาร และบาดเจ็บอีกหลายสิบคน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับผู้คนจำนวนมาก และหลังจากซูฮาร์โตหมดอำนาจ ส่งผลให้ปราโบโวถูกปลดออกจากกองทัพอย่างไร้ศักดิ์ศรี

หากแต่ปราโบโวไม่เคยถูกพิจารณาคดีในเหตุการณ์ Trisakti รวมถึงการลักพาตัว 22 ครั้งที่เกิดขึ้นในปีนั้น ขณะที่บุคคลใต้บังคับบัญชาของเขาจะถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดีและโดนตัดสินว่ามีความผิดก็ตาม

นายพลสายดาร์ก

มูลฮัมหมัดมองว่า ในวันที่ปราโบโว วัย 72 ปี ประกาศชัยชนะเลือกตั้งเมื่อวันพุธ ถือเป็นช่วงเวลาที่อินโดนีเซีย เริ่มเผชิญกับความอันตราย

“อินโดนีเซียกำลังจะกลายเป็นประชาธิปไตยที่มืดมน ภายใต้ปราโบโว” มูฮัมหมัดกล่าวกับอัลจาซีรา 

ปราโบโวเกิดปี 1951 ซึ่งเขาเป็นลูกของนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง และได้เข้าเรียนในสถาบันการทหารอินโดนีเซียปี 1970 หลังจากสำเร็จการศึกษา ได้เข้าร่วมกับ Kopassus หน่วยทหารสำคัญของประเทศ

ปราโบโว เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับอดีตผู้นำซูฮาร์โต และได้แต่งงานกับสิติ เฮเดียติ ฮาริยาดี ลูกสาวของอดีตผู้นำซูฮาร์โต เมื่อปี 1983 แต่อีก 15 ปีต่อมาทั้งคู่ต้องหย่าร้างกันไป

ครั้งเมื่อเดือน พ.ค.1998 ได้เกิดจลาจลต่อต้านจีน ไปทั่วประเทศอินโดนีเซีย ในช่วงเวลานั้นปราโบโวได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการหน่วย Kopassus

มูฮัมหมัดเล่าว่า ทหารได้เบี่ยงเบนความไม่พอใจของประชาชนต่อการบริหารประเทศของซูฮาร์โตด้วยความรุนแรง ท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย และการล่มสลายทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดเหตุปล้นสะดม เผาทำลายธุรกิจของชาวจีน ปลุกระดมก่อเหตุจลาจล สังหาร ทุบตี และข่มขืนสตรีเชื้อสายจีน

ที่ผ่านมา ปราโบโวปฏิเสธการมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยในปี 2014 เขายอมรับกับอัลจาซีราว่า เคยช่วยลักพาตัวนักเคลื่อนไหวในสมัยผู้นำซูฮาร์โต แต่ก็เป็นไปตามคำสั่งและทำภายใต้กฎหมาย

นอกเหนือจากเรื่องนี้ ปราโบโวยังถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางทหารในติมอร์ตะวันออกในปี 1975 ทหารอินโดนีเซียได้บุกโจมตีและยึดครองพื้นที่ เช่นเดียวกับในจังหวัดปาปัวตะวันตก ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องความขัดแย้งยาวนานหลายศตวรรษ

ปราโบโวยังถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บังคับบัญชาทีมกองกำลังพิเศษต่อเหตุสังหารหมู่ในติมอร์ตะวันออกปี 1983 ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 200 คน ถึงอย่างไร เขาปฏิเสธการกระทำผิดใดๆ ในเหตุการณ์ดังกล่าว แล้วในที่สุดก็ถูกคำสั่งให้ออกจากกองทัพหลังรัฐบาลซูฮาร์โตล่มสลาย

 

นายพล สู่เส้นทางธุรกิจ

ตั้งแต่ปราโบโวถูกขับออกจากกองทัพ ได้ทำธุรกิจกับน้องชาย ฮาซิม โตโจฮาติคูซูโม ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัทหลายแห่ง รวมถึงบริษัทกระดาษและบริษัทเพาะปลูกในกาลิมันตันตะวันออกของเกาะบอร์เนียว อินโดนีเซีย นอกจากนี้ยังมีบริษัทน้ำมัน ก๊าซ ถ่านหินและน้ำมันปาล์ม

ปราโบโวเป็นผู้สมัครที่ร่ำรวยที่สุดในการเลือกตั้งเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยได้รายงานทรัพย์สินมูลค่ามากกว่า 127 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้มีคฤหาสน์ในเขตชานเมืองจาการ์ตาแล้ว ยังมีบ้านพักตากอากาศบนภูเขาในเมืองฮัมบาลาง จ.ชวาตะวันตก อีกทั้งยังมีม้าพันธุ์เยี่ยมและเหยี่ยวเป็นสัตว์เลี้ยงอีกด้วย

ระหว่างการหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ปราโบโวได้พยายามสร้างภาพลักษณ์ใหม่ว่าเป็น “คุณปู่ผู้น่ารัก” หวังเรียกคะแนนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่อายุน้อย เพราะหลายคนยังเด็กเกินกว่าจะจดจำเหตุการณ์ในยุคประธานาธิบดีซูฮาร์โตได้ ซึ่งพวกเขามีมากกว่า 50% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งอินโดนีเซีย

ขณะเดียวกัน ปราโบโวยังได้ประโยชน์จากการเคยร่วมรัฐบาลกับประธานาธิบดีโจโก วีโดโด ซึ่งปัจจุบันยังได้รับความนิยมถึง 80%

ที่ผ่านมา ปราโบโวต้องสูญเสียตำแหน่งประธานาธิบดีให้กับโจโกวีถึงสองครั้ง แต่เหตุการณ์ประท้วงท้าทายอำนาจศาลต่อผลการเลือกตั้งปี 2019 ได้ก่อการจลาจลไปทั่วประเทศ มีผู้เสียชีวิต 9 ราย ซึ่งปราโบโวต้องยอมสงบศึกกับโจโกวี และเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี ในตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม

 

ห้ามปราโบโว เข้าสหรัฐ

ตอนที่ปราโบโวดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมอินโดนีเซีย มีครั้งหนึ่งเคยถูกห้ามเข้าสหรัฐ ทั้งที่ได้รับคำเชิญจากมาร์ค เอสเปอร์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐในปี 2020 ขณะที่ปราโบโวได้ตอบรับคำเชิญแล้ว และเตรียมเดินทางเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการ

แต่ขณะนั้นกลับเกิดความไม่ชัดเจนว่า วอชิงตันได้อนุมัติวีซ่าให้กับนายพลปราโบโวหรือไม่อย่างไร เพราะเขาถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าสหรัฐเป็นเวลานาน เนื่องจากมีข้อกล่าวหาเรื่อง “ละเมิดสิทธิมนุษยชน”

 

นโยบายโดนใจ วัยรุ่นชอบ

นาเดก อายุ 25 ปีบอกว่า ได้ติดตามคลิปหาเสียงของปราโบโวในติ๊กต๊อก และได้ลงคะแนนเลือกเขาด้วย เพราะนโยบายน่าสนใจ โดยเฉพาะสัญญาจะสร้างงาน 19 ล้านตำแหน่งในช่วง 5 ปีข้างหน้า ทั้งจัดหาอาหารกลางวันและนมโรงเรียนฟรีให้กับเด็กทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม เธอหวังจะไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนใดๆ ในอนาคต

นักวิเคราะห์กล่าวว่า ถึงแม้ปราโบโวจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ไม่น่าจะเห็นอินโดนีเซียกลับคืนสู่ระบอบเผด็จการเต็มรูปแบบ แต่อาจกัดกร่อนระบอบประชาธิปไตยของคนจำนวนมาก

“ปราโบโวหลงใหลในตำแหน่งประธานาธิบดีตั้งแต่อยู่ในกองทัพ” เอียน วิลสัน นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองและความมั่นคงศึกษา มหาวิทยาลัยเมอร์ด็อก กล่าวกับอัลจาซีรา

แม้ปราโบโวจะไม่ใช่เผด็จการฟาสซิสต์ แต่เขาเป็นศัตรูกับกระบวนการประชาธิปไตย และมองว่าประชาธิปไตยเป็นหนทางไปสู่จุดจบของอำนาจ ซึ่งในฐานะประธานาธิบดี เขามีแนวโน้มจะทำในสิ่งที่โจโกวีทำ และพยายามทำให้วิถีประชาธิปไตยมีขั้นตอนซับซ้อนมากขึ้น และลดพื้นที่การมีส่วนรวม ตามหลักการประชาธิปไตย

“ปราโบโว ไม่เคยเป็นประชาธิปไตย และเขาไม่เคยได้รับการลงโทษ” วิลสันกล่าวทิ้งท้าย

 

ที่มา : Aljazeera ,  Staitstimes