ธุรกิจความงามก็ไม่รอด Estee Lauder เลย์ออฟ 5% ทั่วโลก

ธุรกิจความงามก็ไม่รอด Estee Lauder เลย์ออฟ 5% ทั่วโลก

บริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่ 'เอสเต ลอเดอร์' เตรียมเลิกจ้างรอบใหม่ทั่วโลก 3-5% เพื่อลดต้นทุน หลังลูกค้าจีนรัดเข็มขัดลดการใช้เครื่องสำอางราคาแพง

เมื่อวันที่ 5 ก.พ. "เอสเต ลอเดอร์" (Estee Lauder) บริษัทเครื่องสำอางรายใหญ่ฝั่งสหรัฐ ประกาศเตรียมเลิกจ้างรอบใหม่ทั่วโลก 3-5% จากจำนวนพนักงานทั้งหมดกว่า 6 หมื่นคน เพื่อลดต้นทุนและพยายามพยุงกำไรบริษัทที่ลดลง หลังจากกลุ่มลูกค้าใน "จีน" ลดการซื้อเครื่องสำอางราคาแพง ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ
 
ฟาบริซิโอ ฟรีดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของเอสเต ลอเดอร์ กล่าวในการแถลงผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ว่า บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดในจีนลดลงเล็กน้อยในช่วงไตรมาส 2 

นักวิเคราะห์ระบุว่านอกจากปัญหาเศรษฐกิจในจีน เช่น การว่างงานในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และวิกฤตอสังหาริมทรัพย์แล้ว การเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันไปใช้แบรนด์ท้องถิ่นมากขึ้นก็ยังเป็นอีกความท้าทายของบรรดาแบรนด์เครื่องสำอางใหญ่ระดับโลก หรือ Global brand เช่นกัน

ฆาเวียร์ กอนซาเลซ ลาสตรา ผู้จัดการพอร์ตสินค้าแบรนด์หรูของกองทุนเทมา อีทีเอฟ กล่าวกับรอยเตอร์สว่า ปัจจุบันมีแบรนด์เครื่องสำอางท้องถิ่นในจีนผุดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก หลายแบรนด์มีคุณภาพดี และผู้บริโภคชาวจีนก็ให้การตอบรับมากขึ้นทั้งในแง่ของการทดลองผลิตภัณฑ์ไปจนถึงซื้อสินค้า 

ธุรกิจความงามก็ไม่รอด Estee Lauder เลย์ออฟ 5% ทั่วโลก

ทั้งนี้ เอสเต ลอเดอร์ เป็นบริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่จากฝั่งสหรัฐที่มีแบรนด์เครื่องสำอางอีกหลายรายในเครือ เช่น บ็อบบี้ บราวน์ (Bobbi Brown), แม็ค (M.A.C.)  และ คลีนิกข์ (Clinique) ขณะที่บริษัทมีจำนวนพนักงานทั่วโลกราว 6.2 หมื่นคน ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2566 

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2 นั้น บริษัทมียอดขายสุทธิแบบออร์แกนิกในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เติบโตลดลง 7% ส่วนยอดขายในภูมิภาคอเมริกาลดลง 1% ซึ่งกระเตื้องขึ้นมาจากไตรมาสก่อนหน้าที่ลดลง 6% และบริษัทมีกำไรในภาพรวมลดลง 0.6% 

บริษัทยังปรับลดคาดการณ์กำไรทั้งปี 2567 ลงเป็นครั้งที่สองหลังจากที่ธุรกิจในสหรัฐซบเซาลง โดยคาดว่ากำไรปีนี้จะอยู่ที่ระหว่าง 2.08 - 2.23 ดอลลาร์ต่อหุ้น ลดลงจาดคาดการณ์เดิมที่ 2.17 - 2.42 ดอลลาร์ต่อหุ้น

อย่างไรก็ตาม การลดค่าใช้จ่ายโดยการประกาศเลิกจ้างครั้งนี้ ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทดีดตัวขึ้น 19% ไปอยู่ที่ 159.75 ดอลลาร์ระหว่างการซื้อขายเมื่อวานนี้ และบริษัทคาดการณ์ว่าจะกลับมามีกำไรเพิ่มขึ้นในปีหน้า