เมียนมาขยายภาวะฉุกเฉินต่อ 6 เดือน เลื่อนแผนคืนอำนาจประชาธิปไตยให้ประชาชน

เมียนมาขยายภาวะฉุกเฉินต่อ 6 เดือน เลื่อนแผนคืนอำนาจประชาธิปไตยให้ประชาชน

รัฐบาลทหารเมียนมาระบุเมื่อวันพุธ (31 ม.ค.) ว่า จะขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก 6 เดือนจนถึงวันที่ 31 ก.ค. ปี 2567 ซึ่งเป็นการขยายเวลาครั้งที่ 5 นับตั้งแต่กองทัพเมียนมาก่อรัฐประหารโค่นอำนาจรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อ 3 ปีก่อน

สำนักข่าวนิกเกอิ เอเชียรายงานว่า การตัดสินใจต่อเวลาสถานการณ์ฉุกเฉินของสภากลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติเมียนมา (NDSC) จะทำให้พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา มีอำนาจในการใช้กฎหมาย อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการอย่างเต็มที่ต่อไปอีก 6 เดือนและขยายอำนาจของสภาบริหารแห่งรัฐของเมียนมา (SAC) ซึ่งเป็นคณะบริหารเมียนมา

ที่ผ่านมา พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่ายให้สัญญาว่าจะจัดการเลือกตั้งในเดือนส.ค. 2566 แต่ต่อมาก็อ้างถึงความไร้เสถียรภาพในพื้นที่ขัดแย้งและความจำเป็นที่ต้องดำเนินการสำรวจสำมะโนประชากรระดับชาติก่อนจึงจะสามารถจัดการเลือกตั้งขึ้นได้

พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่ายย้ำคำมั่นเรื่องจัดการเลือกตั้งกับเจ้าหน้าที่ด้านการเลือกตั้งและพรรคการเมืองต่าง ๆ ในการประชุมที่กรุงเนปิดอว์เมื่อวันที่ 6 ม.ค. โดยสื่อของทางการเมียนมารายงานว่า พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ระบุว่า SAC ตั้งเป้าจัดการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม ก่อนส่งมอบหน้าที่รับผิดชอบประเทศให้กับพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม บรรดาหน่วยงานในสังกัดองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า สถานการณ์ความมั่นคงในเมียนมาเลวร้ายลงเรื่อย ๆ ในเวลานี้ เกิดความขัดแย้งขึ้นในพื้นที่สองในสามของประเทศ นับตั้งแต่กลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์หลัก ๆ ของเมียนมาเปิดฉากโจมตีทหารเมียนมาภายใต้รหัส "ปฏิบัติการ 1027" ในช่วงปลายเดือนต.ค. ปี 2566 ก็สามารถยึดเมืองได้แล้วอย่างน้อย 34 เมือง ทำให้ NDSC ต้องจัดประชุมพิเศษในเดือนพ.ย. และประกาศกฎอัยการศึกในหลายพื้นที่ของรัฐฉานทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเมียนมา

กลุ่มสังเกตการณ์ในท้องถิ่น ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 4,400 รายจากการปราบปรามผู้เห็นต่างของรัฐบาลเผด็จการ

รัฐธรรมนูญเมียนมาปี 2551 ที่ร่างโดยกองทัพและรัฐบาลทหารยังคงมีผลใช้บังคับ กำหนดให้ทางการต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 6 เดือนนับจากการยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะฉะนั้นการยืดขยายภาวะฉุกเฉินออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งเป็นการปิดกั้นการคืนอำนาจสู่ประชาชน