ถอดรหัส ‘ซัลลิแวน-หวัง อี้’ คุยกันที่กรุงเทพ l Leaders' Move

ถอดรหัส ‘ซัลลิแวน-หวัง อี้’ คุยกันที่กรุงเทพ l Leaders' Move

ช่วงนี้รัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน หัวบันไดไม่แห้ง เพิ่งเจอกับประธานาธิบดีเยอรมนีมาหยกๆ ก็ต้องต้อนรับเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐและหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศจีน แถมสองคนนี้ยังมาหารือกันที่กรุงเทพฯ อีกด้วย เรื่องนี้น่าจับตา!!!

เป็นข่าวฮือฮาเมื่อทราบว่า  หวัง อี้ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านการต่างประเทศพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน มาเยือนไทยในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 26-29 ม.ค.2567 โดยในในวันอาทิตย์ (28 ม.ค.) หวัง อี้ จะเป็นประธานร่วมกับนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในการประชุมกลไกการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย-จีน ครั้งที่1 ที่กระทรวงการต่างประเทศ 

หลังจากนั้นจะมีพิธีลงนามความตกลงและเอกสารสำคัญ ที่จับตากันมากคือการลงนามในความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตรา (ยกเว้นวีซ่า) ซึ่งกันและกัน สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ เพื่อเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มีนาคม 2567 เรียกได้ว่า สำหรับคนไทยทั่วไป ประเด็นนี้วี้ดวิ้วกันสุดๆ บางคนถึงกับวางแผนไปทัวร์จีนกันแล้ว วันรุ่งขึ้น (29 ม.ค.) ราวเที่ยงครึ่ง หวัง อี้มีกำหนดเข้าพบนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสินที่ทำเนียบรัฐบาล

ตามรายงานข่าว หวัง อี้ มาถึงไทยเมื่อวันที่ 26 ม.ค. ตัดไปอีกภาพ ในวันเดียวกันนั้น รองนายกฯ ปานปรีย์ได้พบหารือกับนายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ณ กระทรวงการต่างประเทศ นั่นเท่ากับว่า ในวันที่ 26 ม.ค. ตัวแทนพญามังกรจีนและพญาอินทรีสหรัฐอยู่บนผืนแผ่นดินไทยแลนด์ แลนด์ออฟสมายล์!!!  

ตามแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศจีน หวังและซัลลิแวน จะพบกัน ในวันที่ 26-27 ม.ค.ที่กรุงเทพฯ เพื่อหารือในหลากหลายประเด็น ซึ่งรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐ และประเด็นเกี่ยวกับไต้หวัน

อย่าลืมว่าไต้หวันเพิ่งเลือกตั้งประธานาธิบดีไปเมื่อวันที่ 13 ม.ค. รองประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ คนที่ไม่โปรจีนเป็นฝ่ายชนะเลือกตั้ง ทำให้พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (ดีพีพี) ได้เป็นประธานาธิบดีสามสมัยรวดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แถมสหรัฐยังส่งตัวแทนทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการมาไต้หวันทันทีหลังเลือกตั้ง แถมยังส่งเรือพิฆาตยูเอสเอส จอห์น ฟินน์ ล่องผ่านช่องแคบไต้หวันอีกด้วย เพื่อยืนยันถึงเสรีภาพในการเดินเรือ งานนี้ปักกิ่งคงมีเคืองกันบ้างล่ะ!!! เพราะฉะนั้นการที่หวังและซัลลิแวนได้พบกันจึงถือเป็นโอกาสดี

กาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ให้รายละเอียดว่า การประชุมระหว่างหวัง อี้ กับ เจค ซัลลิแวน เป็นการประชุมทวิภาคี ไทยไม่ได้เป็นคนจัด แต่ยินดีที่ได้เป็นสถานที่สำหรับการประชุม และมั่นใจว่าการหารือของทั้งสองฝ่ายจะมีส่วนสำคัญต่อสันติภาพ ความมั่นคง และพัฒนาการของประเทศในภูมิภาคและระดับโลก “ไทยเป็นมิตรกับทุกประเทศ”

ขณะที่เว็บไซต์ไชนาเดลี รายงานความเห็นของ หลี่ ไห่ตง อาจารย์จากสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยการต่างประเทศจีนในกรุงปักกิ่งคาดว่า ทั้งสองคนจะได้หารือกันเชิงลึกในหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์สำคัญของแต่ละฝ่าย ทั้งหวังและซัลลิแวนเป็นคนที่ผู้นำไว้ใจด้วยกันทั้งคู่ คุยอะไรกันก็ไม่ผิดไปจากแนวทางที่ผู้นำวางไว้

 ปีที่ผ่านมาหวังและซัลลิแวนเคยคุยกันหลายครั้ง มารอบนี้ประเด็นความขัดแย้งปาเลสไตน์-อิสราเอล และวิกฤติทะเลแดงอาจเป็นเรื่องที่ถูกหยิบยกมาคุยกันด้วย เมื่อวอชิงตันอยากจะร่วมมือกับปักกิ่งคลี่คลายสถานการณ์อันตึงเครียด

“ถ้าสหรัฐต้องการจีนในเรื่องทะเลแดง สิ่งสำคัญก็คือวอชิงตันต้องแสดงความจริงใจด้วยการเคารพผลประโยชน์สำคัญที่เป็นข้อกังวลของจีน เช่น ไต้หวัน เพื่อเป็นการพบกันครึ่งทางและพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีอย่างมั่นคง” กูรูกล่าว

ในสายตาผู้สังเกตการณ์ ความสัมพันธ์ไต้หวัน จีน สหรัฐ ทุกฝ่ายน่าจะคงสถานภาพเดิม  (Status Quo) อย่างนี้เอาไว้ แต่สงครามในกาซาและวิกฤติทะเลแดงถือเป็นประเด็นใหม่ที่จะมีจีนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนอกเหนือจากสหรัฐ ระยะหลังจีนพยายามแสดงบทบาทในตะวันออกกลางมากขึ้น การเป็นคนกลางให้ซาอุดีอาระเบียและอิหร่านคืนดีกันได้เมื่อเดือน มี.ค.2565 ถือเป็นผลงานที่จีนภาคภูมิใจ และต้องการไปต่อในประเด็นที่เป็นวิกฤติโลกอย่างสงครามกาซา การประชุมระหว่างตัวแทนสองชาติในกรุงเทพฯ จึงน่าจับตา