‘ตลาดหุ้นอินเดีย’ มาแรง มูลค่าแซงหน้าตลาดฮ่องกง สู่ท็อป 4 ของโลก

‘ตลาดหุ้นอินเดีย’ มาแรง มูลค่าแซงหน้าตลาดฮ่องกง สู่ท็อป 4 ของโลก

ตลาดหุ้นอินเดียมาแรง ! เงินลงทุนจากต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามามหาศาล มูลค่าตลาดหุ้นอินเดียแตะ 4.33 ล้านล้านดอลลาร์ แซงหน้าตลาดหุ้นฮ่องกงสู่ตลาดหุ้นขนาดใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ของโลก!

บลูมเบิร์กรายงานว่า มูลค่าตลาดหุ้นอินเดียแซงหน้าตลาดหุ้นฮ่องกงเป็นครั้งแรก เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของ"ตลาดหุ้นอินเดีย" และการปฏิรูปนโยบายต่างๆ ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียเป็นที่ชื่นชอบในบรรดานักลงทุน ขณะที่เงินทุนทั่วโลกไหลออกจากจีน

ข้อมูลที่รวบรวมโดยบลูมเบิร์ก พบว่า มูลค่าหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินเดียรวมกันแตะระดับ 4.33 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงปิดการซื้อขายเมื่อวันจันทร์ (22 ม.ค.67) ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกงมีมูลค่าอยู่ที่ 4.29 ล้านล้านดอลลาร์ จึงทำให้อินเดียกลายเป็นตลาดหุ้นขนาดใหญ่สุดอันดับ 4 ของโลก ซึ่งตลาดหุ้นอินเดียมีมูลค่าเกิน 4 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2566 โดยมูลค่าครึ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา

หุ้นอินเดียได้รับความนิยม เนื่องจากฐานนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้น และตลาดให้ผลตอบแทนที่แข็งแกร่ง อีกทั้งอินเดียยังได้วางตนเป็นทางเลือกการลงทุนแทนที่จีน ดึงดูดเงินทุนใหม่ๆ จากนักลงทุน และบริษัททั่วโลก รวมถึงได้อานิสงส์จากจัดตั้งทางการเมืองที่มั่นคง และเศรษฐกิจได้รับแรงขับเคลื่อนจากการบริโภค ซึ่งอินเดียยังคงเป็นหนึ่งในประเทศขนาดใหญ่ที่เติบโตเร็วที่สุด

สวนทางกับตลาดหุ้นฮ่องกงที่ตกต่ำเป็นประวัติการณ์ โดยมาตรการควบคุมโควิด-19 การปราบปรามทางกฎระเบียบกับบริษัทต่างๆ วิกฤติอสังหาริมทรัพย์ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์กับชาติตะวันตก ล้วนบั่นทอนความน่าดึงดูดของจีนในฐานะกลไกหนุนการเติบโตของโลก

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นจีน และฮ่องกงกำลังประสบกับภาวะมูลค่าตลาดตกต่ำ โดยมูลค่าตลาดหุ้นร่วงมากกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์นับตั้งแต่แตะระดับสูงสุดในปี 2564

“อีวาน เมตคาล์ฟ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) Global X ETFs มองว่า อินเดียเป็นตลาดหุ้นที่มีโครงสร้างการเติบโตดีที่สุด ซึ่งไม่ได้เทียบแค่ตลาดเกิดใหม่ แต่เทียบตลาดหุ้นทั่วโลก และเสริมว่า อินเดียมีโอกาสได้เป็นกลไลการเติบโตของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากมีข้อได้เปรียบด้านประชากรจำนวนคนหนุ่มสาวที่มีการศึกษาเพิ่มขึ้น และรัฐบาลได้ปฏิรูปโครงสร้างสำคัญหลายอย่างในทางตรงข้าม นักยุทธศาสตร์บางคนคาดว่า หุ้นจีนอาจฟื้นตัวได้ โดย UBS Group AG มองว่าหุ้นจีนมีศักยภาพเหนือกว่าหุ้นอินเดียในปีนี้ เนื่องจากมูลค่าที่ตกต่ำในอดีตจะทำให้ผลตอบแทนหุ้นมากขึ้นเมื่อความเชื่อมั่นในตลาดกลับมา 

แม้หุ้นจีนพุ่งหลังรัฐบาลประกาศพิจารณางบประมาณเพื่อรักษาเสถียรภาพตลาดหุ้น แต่ดูเหมือนว่าอินเดียยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจมากกว่า

กองทุนบำนาญ และกองทุนความมั่งคั่งระดับโลกต่างพึงพอใจกับตลาดหุ้นอินเดีย และแม้ดัชนี Hang Seng China Enterprises พุ่ง 2.8% ในวันนี้ แต่ดัชนีลดลงมากกว่า 10% ในปี 2567 หลังทำสถิติขาดทุนติดต่อกัน 4 ปี ในปี 2566 และเกือบแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 20 ปี 

ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นอินเดียมีการซื้อขายใกล้แตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ และเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียมากกว่า 21,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2566 หนุนดัชนี S&P BSE Sensex โตติดต่อกันเป็นปีที่ 8

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์