วัดพลังการผลิต ‘ชิป’ ปี 67 ในสงครามเซมิคอนดักเตอร์

วัดพลังการผลิต ‘ชิป’ ปี 67 ในสงครามเซมิคอนดักเตอร์

“สหรัฐ” ต้องเพิ่มกลยุทธ์การแข่งขันผลิตเซมิคอนดักเตอร์แล้ว เพราะล่าสุด SEMI คาดว่า จีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น จะมีกำลังการผลิตสูงกว่า ภายในปี 2567

Key Points 

  • กำลังการผลิตชิปของโลกมากกว่า 80% อยู่ใน “เอเชีย” โดยปริมาณกำลังการผลิตสูงกว่าปีที่แล้วอยู่เล็กน้อย
  • สหรัฐ และยุโรป พยายามฟื้นห่วงโซ่อุปทานชิปภายในประเทศตนเองใหม่อีกครั้ง แต่ไม่น่าช่วยเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นมากนัก ไปจนกว่าปี 2568
  • จีนผลิตเซมิคอนดักเตอร์ได้เพียง 10% เท่านั้น ขณะที่ยังคงซื้อและนำเข้าประมาณ 30% ซึ่งสหรัฐและประเทศอื่นๆ อาจค้นพบประโยชน์นี้

สมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก (SEMI) เผยแพร่รายงาน World Fab Forecast ปี 2567 ระบุข้อมูลการตั้งโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แสดงให้เห็นว่า กำลังการผลิตชิปของโลกมากกว่า 80% อยู่ใน “เอเชีย” โดยปริมาณกำลังการผลิตสูงกว่าปีที่แล้วอยู่เล็กน้อย

จีนมีกำลังการผลิตทั่วโลก คาดจะเพิ่มขึ้น 27% จาก 26% ในปีนี้ ขณะที่สหรัฐยังคงต่ำกว่า 10% เล็กน้อย และยุโรป ต่ำกว่า 9%

สหรัฐ และยุโรป พยายามฟื้นห่วงโซ่อุปทานชิปภายในประเทศตนเองใหม่อีกครั้ง แต่ไม่น่าช่วยเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นมากนัก ไปจนกว่าปี 2568 ซึ่งน่าจะเร็วที่สุดแล้ว

ฉายภาพกำลังผลิตทั่วโลก

ภาพรวมกำลังการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก คาดจะเพิ่มขึ้น 6.4% หรือเกินกว่า 30 ล้านเวเฟอร์ต่อเดือน (WPM) ในปี 2567 ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่ เมื่อคำนวนกับแผ่นเวเฟอร์ 200 มม. (8 นิ้ว) ความจุที่ทั่วโลกผลิตในปีที่แล้ว ได้เพิ่มขึ้น 5.5% เป็น 29.6 ล้านเวเฟอร์ต่อเดือน

สมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก คาดว่า โรงงานผลิตชิปแห่งใหม่ 42 แห่งจะเริ่มสายพานการผลิตได้ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 11 แห่งในปี 2566 และ 29 แห่งในปี 2565

โรงงานแห่งใหม่เหล่านี้ จะสามารถผลิตเวเฟอร์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 300 มม. (12นิ้ว) ซึ่งจะมีเพียงโรงงานขนาดใหญ่ผลิตได้ อย่าง TSMC ซัมซุง และอินเทล

สำหรับจีนแล้ว ในปีนี้โรงงานแห่งใหม่ 18 แห่งจะเริ่มดำเนินการได้ ซึ่งจะช่วยยกระดับกำลังการผลิตของประเทศ เพิ่มขึ้น 13% หรือเป็น 8.6 ล้านเวเฟอร์ต่อเดือน ส่วนไต้หวัน คาดจะเพิ่มขึ้น 4.2% เป็น 5.7 ล้านเวเฟอร์ต่อเดือน และเกาหลีใต้ผลิตเพิ่ม 5.4% เป็น 5.1 ล้านเวเฟอร์ต่อเดือน ขณะที่ญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 2% เป็น 4.7 ล้านเวเฟอร์ต่อเดือน

เมื่อเทียบกับชาติตะวันตก สหรัฐจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 6% เป็น 3.1 ล้านเวเฟอร์ต่อเดือน และยุโรป เพิ่มขึ้น 3.6% เป็น 2.7 ล้านเวเฟอร์ต่อเดือน ขณะที่ห่วงโซ่อุปทานฐานการผลิตชิปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเพิ่มขึ้น 4% เป็น 1.7 ล้านเวเฟอร์ต่อเดือน ส่งผลให้ยอดรวมการผลิตในเอเชีย 26 ล้านเวเฟอร์ต่อเดือน หรือ 4.5 เท่าของกำลังการผลิตของสหรัฐและยุโรปรวมกัน

วัดพลังการผลิต ‘ชิป’ ปี 67 ในสงครามเซมิคอนดักเตอร์

อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้ช่วยขับเคลื่อนความต้องการใช้ชิป ให้เติบโตเพิ่มขึ้นเกือบ 10% ต่อปี ซึ่งคาดว่า ผู้ผลิตชิปจะฟื้นตัวและขยายกำลังการผลิตขึ้น 4% ในปี 2567

เหตุผลอุตฯชิปสหรัฐ เติบโตช้า

“อาจิต มาโนชา” ประธานบริหารของ SEMI กล่าวว่า การแข่งขันเชิงกลยุทธ์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจประเทศ ได้ดึงดูดความสนใจทั่วโลก

ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วอะไรสามารถอธิบายการเติบโตในอุตสาหกรรมการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐ และยุโรปที่ยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ท่ามกลางเป้าหมายลดการพึ่งพาการนำเข้าจากจีน

เหตุผลหนึ่งก็คือ โครงการสนับสนุนการผลิตฯดำเนินการล่าช้า อย่าง เงินอุดหนุนครั้งแรกภายใต้กฎหมาย CHIPS Act ของรัฐบาลโจ ไบเดนนั้น ไม่ได้ประกาศใช้ จนเกือบถึงเดือน ธ.ค. 2566 และเงินดังกล่าวยังมีมูลค่าเพียง 35 ล้านดอลลาร์ แม้จะเพื่อสำหรับใช้กับโรงงานประกอบชิปในนิวแฮมป์เชียร์ ซึ่งผลิตชิปใช้ในเครื่องบินขับไล่ และดาวเทียม

นอกจากนี้ ยังมีโครงการก่อสร้างโรงงานประกอบชิปของ TSMC ในแอริโซนา ถูกเลื่อนออกไป เพราะปัญหาขาดแคลนแรงงาน และข้อพิพาทกับสหภาพแรงงาน

ความเสี่ยงระยะสั้นสำหรับผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐ ไม่ใช่ว่าจีนทำการตลาดไปทั่วโลก ด้วยชิปเทคโนโลยี 28 นาโนเมตรในราคาที่รัฐให้การสนับสนุน แต่ยอดขายชิปของสหรัฐในจีนเองตะหากที่ลดลง

ส่วนในเยอรมนี เงินอุดหนุนสำหรับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์กลับถูกขัดขวางจากศาล เนื่องจากความเห็นที่มีต่อความชอบธรรมทางกฎหมายในการใช้งบประมาณของรัฐ ซึ่งได้ให้เงินช่วยเหลือกับอินเทล ตั้งโรงงานประกอบชิปอยู่ในเมืองมัคเดอบวร์ค จำนวน 9.9 พันล้านยูโรจากทั้งหมด 3 หมื่นล้านยูโร

รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของรัฐแซกโซนี-อันฮัลต์ ประเทศเยอรมนีบอกกับไฟแนนซ์เชียลไทม์ว่า เรื่องนี้เป็นหายนะต่อภาพลักษณ์ประเทศ ในฐานะเป็นสถานที่ของการลงทุน และยังแสดงให้เห็นว่า ต่างชาติไม่อาจพึ่งพาการลงทุนกับประเทศนี้ได้

นอกจากนี้ ยังทำให้เยอรมนีเสียเปรียบมากๆ ในการจะแข่งขันกับไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน รวมถึงสหรัฐ อิสราเอลด้วย ทั้งหมดนี้ต่างให้เงินอุดหนุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศตนเองอย่างจริงจัง

เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา อิสราเอลประกาศมอบเงินสนับสนุน 3.2 พันล้านดอลลาร์ให้กับบริษัทอินเทล เพื่อเป็นส่วนหนึ่งตามที่บริษัทได้วางแผนสร้างโรงงานประกอบชิปมูลค่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในอิสราเอล แม้จะมีสงครามในฉนวนกาซาอย่างต่อเนื่องก็ตาม

สิ่งที่ต้องรู้ จีนผลิตเซมิคอนดักเตอร์ได้เพียง 10% เท่านั้น ขณะที่ยังคงซื้อและนำเข้าประมาณ 30% ซึ่งสหรัฐและประเทศอื่นๆ อาจค้นพบการใช้ประโยชน์ตรงจุดนี้ก็ได้

ที่มา : Asiatimes