เจพีมอร์แกนคาดดอกเบี้ยขาลง หนุนราคาทองแตะ 2,300 ดอลล์ในปีนี้

การคาดการณ์ราคาทองคำของเจพีมอร์แกนถือว่าอยู่ในระดับสูงกว่าที่นักวิเคราะห์รายอื่น ๆ คาดการณ์ไว้ โดยยูบีเอสคาดการณ์ว่า ราคาทองคำจะดีดตัวขึ้นแตะระดับ 2,150 ดอลลาร์/ออนซ์ภายในปี 2567 ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่า ราคาทองคำโดยเฉลี่ยในปี 2567 จะอยู่ที่ 1,986.50 ดอลลาร์/ออนซ์ สูงกว่าระดับเฉลี่ยของปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 1,950 ดอลลาร์/ออนซ์

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2565 ราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,135.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ขานรับการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนมี.ค. 2567 หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดหลายคน ซึ่งรวมถึงนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดส่งสัญญาณชัดเจนว่าเฟดได้ยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว และจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567

กระแสคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเงินเฟ้อของสหรัฐชะลอตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งออกมาต่ำกว่าการคาดการณ์ในเดือนพ.ย.

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนคาดว่า สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมทั้งความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งในประเทศขนาดใหญ่หลายประเทศ และการที่ธนาคารกลางทั่วโลกนำโดยธนาคารกลางจีนได้เข้าซื้อทองคำเข้าสู่ระบบทุนสำรองนั้น จะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในปี 2567

ด้านสภาทองคำโลก (WGC) เปิดเผยรายงานแนวโน้มตลาดทองคำปี 2567 (Gold Outlook 2024) โดยคาดการณ์ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐจะปรับตัวลงประมาณ 0.40% - 0.50% หากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% - 1% ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำพุ่งขึ้น 4% ในปี 2567

รายงานของ WGC ยังระบุด้วยว่า ความต้องการทองคำในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในปี 2567 เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ในหลายประเทศจะเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย นอกจากนี้ WGC คาดการณ์ว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะเดินหน้าซื้อทองคำเข้าสู่ระบบทุนสำรอง ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาทองคำ

WGC ระบุด้วยว่า "ธนาคารกลางทั่วโลกได้เข้าซื้อทองคำเพิ่มในระบบทุนสำรองในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และเข้าซื้อต่อเนื่องในปี 2566 เราคาดว่าธนาคารกลางจะเดินหน้าซื้อทองคำต่อไปในปี 2567 โดยผลสำรวจล่าสุดของ WGC พบว่า ธนาคารกลางทั่วโลกจะซื้อทองคำเข้าสู่ระบบทุนสำรองอีก 24% ในปี 2567"