ผู้ผลิตรถหันฟื้นตลาด ‘ไฮบริด’ ตอบโจทย์ลูกค้ายุคเปลี่ยนผ่านรถอีวี

ผู้ผลิตรถหันฟื้นตลาด ‘ไฮบริด’ ตอบโจทย์ลูกค้ายุคเปลี่ยนผ่านรถอีวี

แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจะมีการพูดกันถึงแต่รถอีวี แต่ไฮบริดก็ยังไม่ตาย ยังมีผู้บริโภคอีกมากที่สนใจในรถยนต์ไฟฟ้า แต่ก็ยังไม่พร้อมที่จะใช้รถอีวีแบบเต็มตัว

ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์กันไว้ บรรดาผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จึงพากันปรับตัวมาพบกันครึ่งทางกับผู้บริโภคด้วยรถยนต์“ไฮบริด”

ซีเอ็นบีซี รายงานว่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์หลายรายกำลังหันมาฟื้นตลาดไฮบริดอีกครั้งทั้งในกลุ่มรถเก๋งซีดานและรถบรรทุก ทั้งเพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคและหลีกเลี่ยงมาตรการลงโทษของรัฐซึ่งกำลังเน้นเรื่องเศรษฐกิจสีเขียวที่ตอบโจทย์เรื่องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ปัจจุบัน  ยอดขายรถไฮบริดคิดเป็นสัดส่วนราว 8.3% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในสหรัฐ หรือประมาณ 1.2 ล้านคัน ตั้งแต่เดือน ม.ค. - พ.ย. 2566 โดยคิดเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 2.8% เมื่อเทียบปีที่แล้ว
 

แม้ว่าการฟื้นตลาดไฮบริดจะเป็นการขัดกับกลยุทธ์ที่บริษัทรถยนต์ต่างๆ ทุ่มลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ไปกับอีวีมาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับที่รัฐบาลประเทศต่างๆ เดินหน้าเข็นมาตรการสนับสนุนรถยนต์อีวีและรถยนต์พลังงานใหม่ (เอ็นอีวี) กันออกมาอย่างเต็มที่ทว่ารถไฮบริดที่เป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างเครื่องยนต์สันดาปกับแบตเตอรี่อีวี ก็พอจะช่วยเรื่องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือการใช้รถน้ำมันแบบ 100% ลงไปได้บ้าง ในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่กระแสรถอีวีชะลอตัวลง

จากรายงานของเอ็ดมันส์ ซึ่งเป็นบริษัทข้อมูลด้านวงการยานยนต์พบว่า ยอดขายรถยนต์ไฮบริดแบบดั้งเดิม (HEV) เช่น โตโยต้า พริอุส ได้แซงหน้ารถอีวีไปแล้วในปี 2566 โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 8.3% หรือประมาณ 1.2 ล้านคันในตลาดสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 2.8% เมื่อเทียบกับยอดขายอีวีที่มีสัดส่วน 6.9% หรือราว 967,560 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียง 1.7%

แต่ในส่วนยอดขายรถไฮบริดรุ่นใหม่แบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) นั้นยังคิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ 1% ของยอดขายในสหรัฐ

“แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจะมีการพูดกันถึงแต่รถอีวี และไม่มีใครคิดถึงรถไฮบริดเลย แต่ไฮบริดก็ยังไม่ตาย ยังมีผู้บริโภคอีกมากที่สนใจในรถยนต์ไฟฟ้า แต่ก็ยังไม่พร้อมที่จะใช้รถอีวีแบบเต็มตัว”เจสซิกา คาลด์เวลล์ กรรมการบริหารฝ่ายอินไซท์ของเอ็ดมันด์ กล่าวกับซีเอ็นบีซี

อีกเหตุผลสำคัญที่ผู้บริโภคในสหรัฐหันมาให้ความสนใจในรถไฮบริดมากขึ้นก็คือ ราคาที่ถูกกว่า และสามารถอุดช่องโหว่ความกังวลหลายด้านของอีวี เช่น ระยะทางที่วิ่งได้ต่อการชาร์จ และจำนวนสถานีชาร์จที่ยังมีไม่มากพอ

ราคารถยนต์ที่จำหน่ายจริงของไฮบริดโดยเฉลี่ยในปัจจุบันอยู่ที่ 42,381 ดอลลาร์ ซึ่งถูกกว่ากันถึงหลักหมื่นเมื่อเทียบกับอีวีที่เฉลี่ย 59,400 ดอลลาร์ และยังถูกกว่ารถน้ำมันซึ่งอยู่ที่ 44,800 ดอลลาร์ ในขณะที่รถปลั๊กอิน PHEV นั้นมีราคาพุ่งไปถึง 60,700 ดอลลาร์ จึงไม่น่าแปลกใจหากจะไม่สามารถดึงดูดผู้บริโภคได้มากพอ

เมื่อต้นเดือนนี้ธนาคารมอร์แกนสแตนลีย์ได้เปิดเผยว่า บรรดาค่ายรถยนต์เอเชีย อาทิ โตโยต้า มอเตอร์, ฮอนด้า มอเตอร์, ฮุนได มอเตอร์ และเกีย ซึ่งครองตลาดรถไฮบริดในสหรัฐอยู่ที่สัดส่วนยอดขายประมาณ 9 ใน 10 คัน กำลังพยายามเพิ่มสัดส่วนการผลิตและการจำหน่ายรถไฮบริดในตลาดสหรัฐให้มากขึ้นอีก

“ในขณะที่การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของอีวีอาจยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก ไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริดจะช่วยเข้ามาเติมเต็มและมีบทบาทสำคัญในเกีย อเมริกา สำหรับเป้าหมายระยะใกล้และระยะกลาง” เอริค วัตสัน รองประธานฝ่ายขายของเกีย อเมริกา กล่าว

ทว่าสำหรับกลุ่ม “บิ๊กทรี” หรือ 3 ค่ายใหญ่ในสหรัฐที่ประกอบด้วย ฟอร์ด จีเอ็ม และไครส์เลอร์แล้ว ยังมีมุมมองต่อรถไฮบริดที่ต่างกันออกไป

แม้ “ฟอร์ด มอเตอร์” จะมีการเปิดตัวรถรุ่นปลั๊กอินไฮบริดแต่ก็ดูจะทุ่มไปที่ไฮบริดธรรมดาแบบ HEV มากกว่า โดยเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ได้ประกาศแผนจะเพิ่มยอดขายรุ่นไฮบริด V-6 โมเดลปี 2024 เป็นสองเท่า หรือประมาณ 20% ในตลาดสหรัฐ โดยเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของซีอีโอ จิม ฟาร์ลีย์ ที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนการผลิตรถไฮบริดเป็น 4 เท่า

ทั้งนี้เป็นเพราะยอดขายรถไฮบริดของฟอร์ดในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ ปรับตัวขึ้นถึง 23% เมื่อเทียบปีก่อน ไปอยู่ที่ 121,000 คัน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 6.8% ของยอดขายทั้งหมดของบริษัท ในขณะที่ยอดขายรถอีวีของฟอร์ดขยายตัวขึ้น 16.2% อยู่ที่ราว 6.25 หมื่นคัน หรือคิดเป็น 3.5% ของยอดขายทั้งหมด

สำหรับบริษัทรถยนต์รายใหญ่รวมถึงบิ๊กทรี เหตุผลสำคัญที่บริษัทยังต้องผลักดันอีวีต่อแม้กระแสจะซาลงก็คือ เพื่อบรรลุเป้าหมายเรื่องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทขนาดใหญ่ในยุคใหม่ต่างก็ต้องดำเนินการและบรรจุอยู่ในรายงานเรื่องความยั่งยืนโดยอีวียังช่วยให้บริษัทไม่ต้องจ่ายค่าปรับหลายร้อยล้านดอลลาร์ตามกฎหมาย เพราะประเทศเองก็ต้องบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซด้วย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีเอ็มและสเตลแลนทิสต้องจ่ายค่าปรับรวมกันถึงราว 363.8 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.3 หมื่นล้านบาท) เนื่องจากไม่สามารถทำตามมาตรฐานเศรษฐกิจพลังงานใหม่ของรัฐบาลได้

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ปรับกฎใหม่ให้เข้มข้นขึ้นเพื่อกระตุ้นให้บรรดาบริษัทผู้ผลิตรถยนต์หันมาเพิ่มสัดส่วนของรถพลังงานใหม่ และลดในส่วนของรถยนต์สันดาปลง และเมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ก็ได้เพิ่มข้อกำหนดประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงในรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเป็น 2% และในรถบรรทุกและเอสยูวีเป็น 4% ต่อปี ระหว่างปี 2570 - 2575

สมาคมนโยบายยานยนต์อเมริกันเคยเปิดเผยเมื่อต้นปีนี้ว่า บริษัทรถยนต์ต่างๆ อาจเจอค่าปรับรวมกันมากถึงกว่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 2570 - 2575 หากไม่สามารถทำตามกฎหมายใหม่ของสหรัฐได้ ขณะที่ค่ายต่างๆ เองเคยประเมินถึงค่าปรับคร่าวๆ เอาไว้เช่นกัน โดยจีเอ็มอาจสูงถึง 6,500 ล้านดอลลาร์ สเตลแลนทิส 3,000 ล้านดอลลาร์ และฟอร์ด 1,000 ล้านดอลลาร์ และในขณะที่อีวีตอบโจทย์ดังกล่าวได้น้อยกว่า จึงคาดว่าไฮบริดจะจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นแทน