หุ้น ‘อาลีบาบา’ ดิ่งเหวในรอบปี สัญญาณร้ายกลุ่มเทค-เศรษฐกิจจีน

หุ้น ‘อาลีบาบา’ ดิ่งเหวในรอบปี สัญญาณร้ายกลุ่มเทค-เศรษฐกิจจีน

การประชุมสุดยอดทวิภาคี สี-ไบเดน จบลงไปท่ามกลางความคืบหน้าเพียงแค่เล็กน้อยในความพยายามซ่อมความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ และสิ่งหนึ่งที่สะท้อนตามมาหนึ่งวันหลังจากนั้นก็คือ ราคาหุ้นของบริษัท “อาลีบาบา กรุ๊ป”

การประชุมสุดยอดทวิภาคีระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ที่จบลงไปนั้นได้รับเสียงสะท้อนจากสื่อและนักวิเคราะห์หลายสำนักว่า แม้จะทำให้บรรยากาศระหว่าง 2 ประเทศดีขึ้น แต่ก็มีความคืบหน้าเพียงแค่เล็กน้อยในความพยายามซ่อมความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ

สัญญาณหนึ่งที่สะท้อนตามมาหนึ่งวันหลังจากนั้นก็คือ ราคาหุ้นของบริษัท “อาลีบาบา กรุ๊ป” ยักษ์อีคอมเมิร์ซจีนที่ดิ่งลงหนักถึง 10% ในการซื้อขายที่ตลาดฮ่องกงเมื่อวันศุกร์ที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา หลังจากปิดตลาดในสหรัฐคืนก่อนหน้าลบไปถึง 9% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงในหนึ่งวันที่ “หนักที่สุดในรอบปี 2566” และทำให้มูลค่าตลาดหายวับถึงราว 2 หมื่นล้านดอลลาร์

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้หุ้นร่วงครั้งใหญ่ไม่ใช่เพราะผลประกอบการไตรมาส 2 เดือน ก.ค.-ก.ย. ที่บริษัทมีรายได้เติบโตเพียง 9% อยู่ที่ 30,810 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.08 ล้านล้านบาท) แต่เป็นเพราะการล้มเลิกแผนสปินออฟ “ธุรกิจคลาวด์” ที่เป็นอนาคตของบริษัท แต่อนาคตที่ว่านี้กลับต้องมืดหม่นจากผลกระทบความสัมพันธ์สหรัฐ-จีนที่ย่ำแย่ลง

เดิมทีนั้นอาลีบาบาต้องการแยกกลุ่มธุรกิจคลาวด์ที่ชื่อว่า คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กรุ๊ป หรือ “อาลีคลาวด์” ออกมาเป็นอิสระและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้ขึ้นมาแข่งขันในตลาดคลาวด์ได้อย่างเต็มที่กับรายใหญ่ฝั่งสหรัฐอย่าง แอมะซอน เว็บ เซอร์วิส (AWS) และไมโครซอฟต์ อะชัวร์ (Azure)

หุ้น ‘อาลีบาบา’ ดิ่งเหวในรอบปี สัญญาณร้ายกลุ่มเทค-เศรษฐกิจจีน

แถลงการณ์ของอาลีบาบา ระบุว่า มาตรการของสหรัฐที่ห้ามส่งออกไมโครชิปให้กับบริษัทสัญชาติจีน ทำให้เกิดความไม่แน่นอนต่อทิศทางของคลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กรุ๊ป และอาจจะทำให้ความตั้งใจของผู้ถือหุ้นที่จะเพิ่มมูลค่าธุรกิจนี้ไม่เป็นตามที่คาดหวังเอาไว้ ดังนั้นบริษัทจึงต้องระงับแผนการสปินออฟออกไป และหันไปเน้นการพัฒนาโมเดลการเติบโตที่ยั่งยืนภายใต้สถานการณ์ที่คาดเดาได้ยากเช่นนี้แทน

ขณะที่ก่อนหน้าการรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 อาลีบาบายังได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ด้วยว่า กองทรัสต์ของครอบครัว “แจ๊ค หม่า” ผู้ก่อตั้งอาลีบาบามีแผนจะขายหุ้นจำนวน 10 ล้านหุ้น เป็นมูลค่าราว 870.7 ล้านดอลลาร์ (ราว 3 หมื่นล้านบาท)

“แม้จะไม่เกี่ยวข้องในงานบริหารแล้ว แต่เราเชื่อว่าการที่หม่าขายหุ้นอาลีบาบาในช่วงที่ราคาตกต่ำเช่นนี้ อาจส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของตลาดได้” เคนเนธ ฟ่ง นักวิเคราะห์จากธนาคารยูบีเอสให้ความเห็นกับรอยเตอร์ส

ณ วันที่ 17 พ.ย. 2566 หุ้นอาลีบาบาในตลาดฮ่องกงปรับตัวลดลงมาแล้วถึง 15% ในปีนี้ ซึ่งมากกว่าดัชนีฮั่งเสงที่ปรับตัวลงเฉลี่ย 11.2%

ทั้งนี้ อาลีบาบาเคยเป็นหุ้นที่มีมูลค่าสูงที่สุดในเอเชีย โดยในช่วงพีคสุดบริษัทมีมูลค่าตลาดสูงถึงราว 8.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเดือน ต.ค. 2563 ก่อนที่จะเกิดการจัดระเบียบครั้งใหญ่ในภาคเทคโนโลยีของจีนตามมา โดยมีอาลีบาบาเป็นหัวใจหลักซึ่งเผชิญทั้งข้อกล่าวหาเรื่องการผูกขาดตลาดและอื่นๆ ทำให้ปัจจุบันอาลีบาบามีมูลค่าตลาดลดลงเหลือเพียง 1 ใน 4 จากช่วงพีคสุดเท่านั้น

หุ้น ‘อาลีบาบา’ ดิ่งเหวในรอบปี สัญญาณร้ายกลุ่มเทค-เศรษฐกิจจีน

สัญญาณสะท้อนเศรษฐกิจจีน

ซีเอ็นบีซีรายงานว่า ที่ผ่านมาผลประกอบการของอาลีบาบามักถูกมองว่าเป็นดัชนีที่สะท้อนสภาพเศรษฐกิจจีนในแง่การบริโภค เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ที่สุดในประเทศ

บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดหวังว่าเศรษฐกิจจีนจะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งหลังผ่านยุคการระบาดของโควิด-19 เมื่อปีที่แล้ว แต่การฟื้นตัวกลับไม่เร็วพอตามที่คาดหวังเนื่องจากมีแรงฉุดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเผชิญวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ และปัญหาเชิงโครงสร้างต่างๆ ในจีน จนฉุดการฟื้นตัวในภาพรวมประเทศไปด้วย

ในผลประกอบไตรมาสเดือน ก.ค.-ก.ย. อาลีบาบามีรายได้เติบโต 9% อยู่ที่ 2.24 แสนล้านหยวนซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ แต่มีกำไรสุทธิ 2.77 หมื่นล้านหยวน (ราว 1.33 แสนล้านบาท) ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.97 หมื่นล้านหยวน

โจเซฟ ไซ่ ประธานกรรมการของอาลีบาบา กล่าวว่า แม้จะมีความผันผวนในตลาดโลก แต่บริษัทก็กำลังเข้าสู่ช่วงของบรรยากาศที่มีเสถียรภาพมากขึ้นในจีน โดยระบุว่าแพลตฟอร์มค้าปลีกในประเทศอย่าง “เถาเป่า” และ “ทีมอลล์” มีการเติบโตของผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับยอดซื้อในช่วงเทศกาลวันคนโสด 11-11 ที่ผ่านมาซึ่งเติบโตดีขึ้นด้วย

 

สัญญาณเตือนภาคเทคโนโลยีจีนไม่สดใส

สถานการณ์ล่าสุดในอาลีบาบายิ่งตอกย้ำถึงอุปสรรคในภาคเทคโนโลยีของจีน ที่เจอผลกระทบจากมาตรการจำกัดการส่งออกไมโครชิปของสหรัฐ ทำให้จีนเข้าถึงชิปเซ็ตจากสหรัฐได้ยากขึ้น

เว็บไซต์อินเวสติงดอตคอม ระบุว่า ทิศทางของอาลีบาบาได้ฉุดหุ้นในกลุ่มเทคโนโลบีอื่นๆ ตามลงมาด้วย เช่น ไป่ตู้และเทนเซนต์

ทั้งนี้ แม้ว่าอาลีบาบาจะกำลังมุ่งพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) โดยเฉพาะเอไอเจนเนอเรชันใหม่ (เจนเอไอ) แต่การขาดแคลนชิปเอไอรุ่นใหม่ๆ โดยเฉพาะชิปเอไอเรือธงล่าสุดจากบริษัทเอ็นวิเดีย รุ่น H200 ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน ก็อาจส่งผลกระทบต่อแผนการพัฒนาของบริษัท

มาตรการจำกัดของสหรัฐยังกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ในจีนด้วย โดยเมื่อไม่นานมานี้ เท็นเซนต์ได้เตือนว่ามาตรการของสหรัฐอาจกระทบต่อธุรกิจคลาวด์ของตนเอง ซึ่งบริษัทได้ตุนชิปของเอ็นวิเดียได้จำนวนหนึ่งแล้ว แต่ก็ต้องมองหาชิปจากจีนเป็นทางเลือกสำรองด้วยเช่นกัน