‘สหรัฐ’ ยืนเบอร์ 1 ฟินเทคฮับ มี’มูลค่าบริษัท-ยูนิคอร์น’มากสุดในโลก

‘สหรัฐ’ ยืนเบอร์ 1 ฟินเทคฮับ  มี’มูลค่าบริษัท-ยูนิคอร์น’มากสุดในโลก

‘สหรัฐ’ ยืนเบอร์ 1 ฟินเทคฮับ รายงานระบุว่าสหรัฐมีมูลค่าบริษัทฟินเทค เป็นที่บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ ทั้ง เมตา แอปเปิ้ล กูเกิล และมีบริษัทเทคที่เป็นยูนิคอร์นมากสุดในโลก รองลงมาคือ ‘จีน’ ที่มีมูลค่าบริษัทมากเป็นอันดับที่ 2

ประเทศมหาอำนาจทั่วโลก เช่น สหรัฐและจีน รวมถึงประเทศต่างๆ กำลังแย่งชิงเพื่อเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีทางการเงิน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ให้ผลกำไรมหาศาลและเติบโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่วิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2551 มีการจัดตั้งบริษัทใหม่หลายพันแห่ง โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นผู้ครอบครองตลาดทางการเงิน และให้บริการด้านการเงินที่เข้าถึงผู้บริโภคและธุรกิจมากขึ้น 

ทำให้บริษัทสตาร์ทอัพอย่าง Monzo และ Starling ในสหราชอาณาจักร หรือ อาลีบาบาและเทนเซ็นต์ในจีนที่สามารถตีตื้นการธนาคารด้วย "ดิจิทัล"เปิดตัวตัว “ดิจิทัลวอลเล็ต” อย่าง Alipay และ WeChat Pay

นับว่าอุตสาหกรรมฟินเทคกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ไม่ใช่แค่อุปสรรคทางเศรษฐกิจมหภาคเท่านั้นทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครนมาตรการล็อกดาวน์ช่วงโควิด-19 และผลที่ตามมาคือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจหลักๆอย่างมากซึ่งอุปสรรคสำคัญที่ภาคธุรกิจกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ คือสภาพคล่องในการร่วมทุนที่ลดน้อยลง

Nick Parmenter ซีอีโอของบริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการธุรกิจ Class35 มองว่า “สภาพแวดล้อมการลงทุนกำลังอยู่ในภาวะย่ำแย่ทั้งการเสนอขายหุ้น IPO น้อยลงและการประเมินมูลค่ามีตัวเลขที่ลดลง

“สิ่งนี้ทำให้การระดมทุนเพื่อการเติบโตมีความยากขึ้นมาก ซึ่งทำให้ทีมผู้บริหารระมัดระวังในการใช้เงินสดมากขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อตลาดฟินเทคและการที่ผู้บริโภคมีรายได้ในการลงทุนหรือใช้จ่ายน้อยลง เป็นการจำกัดโอกาสในการสร้างรายได้ของเหล่าบริษัทฟินเทคที่มีรายได้จากกลุ่มผู้บริโภคและธุรกิจขนาดเล็กเช่นกัน”

‘สหรัฐฯ-จีน’ ฮับฟินเทคมูลค่าสูงสุด 2 อันดับแรก

‘สหรัฐ’ ยืนเบอร์ 1 ฟินเทคฮับ  มี’มูลค่าบริษัท-ยูนิคอร์น’มากสุดในโลก

ตามข้อมูลของ Statista สหรัฐเป็นที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินหรือ ฟินเทคที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกในปี 2566 

โดยมีบริษัทฟินเทค 8 ใน 15 อันดับแรกของโลก มีมูลค่ารวมกัน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ นำโดย Visa และ Mastercard เป็น 2 บริษัทฟินเทคที่ใหญ่ที่สุด โดยมีมูลค่าตลาดรวม 8 แสนล้านดอลลาร์

รองลงมาคือประเทศจีน เป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมฟินเทคที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 2 โดยบริษัทการชำระเงินยักษ์ใหญ่อย่าง Tencent และ Ant Group มูลค่ารวม 3.38 แสนล้านดอลลาร์

สหรัฐเป็นที่ตั้งบริษัทฟินเทค 65 แห่ง

‘สหรัฐ’ ยืนเบอร์ 1 ฟินเทคฮับ  มี’มูลค่าบริษัท-ยูนิคอร์น’มากสุดในโลก

ตามรายชื่อบริษัทฟินเทค 200 อันดับแรกของโลก บริษัทฟินเทคชั้นนำตั้งอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก แต่อันดับหนึ่งคือ สหรัฐ 65 แห่ง เช่น  Stripe และPayPal และซิลิคอนแวลลีย์ (Silicon Valley) ซึ่งรวมยักษ์ใหญ่ด้านฟินเทคไว้มากมาย ทั้ง Apple, Meta, Google และ Amazon

อันดับที่ 2 คือ สหราชอาณาจักร 15 แห่ง ที่มีอุตสาหกรรมฟินเทคที่โดดเด่นได้แรงขับเคลื่อนจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงิน Financial Conduct Authority ไปจนถึงแหล่งเงินทุนที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งการร่วมลงทุนจากภาคเอกชนไปจนถึงรัฐบาล ที่พยายามดันให้ฟินเทคเป็นวาระการประชุม 

สหราชอาณาจักรจึงสามารถผลิตบริษัทฟินเทคที่มีความสำคัญของโลก เช่น Monzo ธนาคารดิจิทัลยักษ์ใหญ่ หรือ Wise บริษัทการชำระเงินที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

สหรัฐมียูนิคอร์นฟินเทคมากสุด

‘สหรัฐ’ ยืนเบอร์ 1 ฟินเทคฮับ  มี’มูลค่าบริษัท-ยูนิคอร์น’มากสุดในโลก

สหรัฐยังคงเป็นอันดับ 1 รวมทั้งมีจำนวนบริษัท “ยูนิคอร์น”  ที่มีมูลค่ามหาศาลในประเทศ ที่

1 พันล้านดอลลาร์หรือมากกว่า โดยสหรัฐมียูนิคอร์นทั้งหมด 134 บริษัท โดยยูนิคอร์นฟินเทคที่ใหญ่ที่สุด คือ Stripe มีมูลค่า 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์

และสหราชอาณาจักรยังคงเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐ  โดยน่าแปลกใจว่า Revolut ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการด้านคริปโท มีมูลค่า 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ตามด้วย Blockchain.com มีมูลค่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ และอันดับที่ 3 คือ Checkout.com ผู้ให้บริการชำระเงินดิจิทัล 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์

ขณะที่ Stateside ยูนิคอร์นฟินเทคที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่ Stripe (95 พันล้านดอลลาร์), Chime (25 พันล้านดอลลาร์), Ripple (15 พันล้านดอลลาร์), Plaid (13.5 พันล้านดอลลาร์), Devoted Health (12.6 พันล้านดอลลาร์ และ Brex (12.3 พันล้านดอลลาร์)

อันดับที่ 3 ของโลก คือ อินเดีย มียูนิคอร์น 17 แห่ง และอันดับที่ 4 คือ จีน  มียูนิคอร์น 8 แห่ง ตามด้วยอันดับที่ 5 ได้แก่ฝรั่งเศส บราซิล และเยอรมนี มียูนิคอร์นประเทศละ 6 แห่งซึ่งสิงคโปร์ประเทศจากแถบเอเชียมียูนิคอร์น 5 แห่ง ซึ่งอยู่อันดับที่ 9 ของโลก

อ้างอิง CNBC