นักลงทุนญี่ปุ่นซื้อ ‘บอนด์สหรัฐ’ มากสุดในรอบครึ่งปี สู่ระดับ 7.8 แสนล้านบาท

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า นักลงทุนญี่ปุ่นซื้อพันธบัตรสหรัฐมากที่สุดในช่วง 6 เดือน จนถึงเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ตอกย้ำถึงกระแสเงินทุนไหลเข้าสู่หนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งส่งผลกระทบให้เงินเยนแข็งค่า

ข้อมูลที่เผยแพร่ล่าสุดในวันนี้ ระบุว่า กองทุนในญี่ปุ่นซื้อพันธบัตรสหรัฐสุทธิ ณ เดือน ก.ย. รวม 3.31 ล้านล้านเยน (ราว 7.8 แสนล้านบาท) เป็นผลมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ทะยานสูงขึ้น 0.46% ในระหว่าง 6 เดือนดังกล่าว และสิ้นสุดที่ 4.57% เพิ่มขึ้นมากกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นที่เติบโตเพียง 0.125% สู่ระดับ 0.765%

จากนั้นพันธบัตรสหรัฐก็ร่วงลงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้อัตราผลตอบแทนต่ำกว่าช่วงสิ้นเดือน ต.ค. ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น แต่ยังคงมีผลตอบแทนต่างกันมากกว่า 3.5%

“สึโยชิ อูเอโนะ” นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากสถาบันวิจัยเอ็นแอลไอ ในกรุงโตเกียวบอกว่า

“พันธบัตรสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 6 เดือน (สิ้นสุดเดือน ก.ย.) สู่ระดับที่น่าดึงดูดนักลงทุนญี่ปุ่น จึงกระตุ้นให้เกิดการซื้อพันธบัตรมากขึ้น การเปลี่ยนไปซื้อพันธบัตรสหรัฐ เกิดขึ้นเนื่องจากมีคาดการณ์เพิ่มขึ้นว่า สหรัฐจะรักษาต้นทุนกู้ยืมให้อยู่ในระดับสูงไปอีกนาน แม้การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มีความเสี่ยงทำให้เงินเยนแข็งค่า แต่ผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐยังคงให้กำไรได้มากอยู่"

นั่นทำให้นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่า เมื่อไรกองทุนญี่ปุ่นจะลงทุนในตลาดพวกเขาบ้าง เพื่อโอนย้ายเงินทุนออกจากคลังสหรัฐ ไปสู่คลังยุโรปและออสเตรเลีย เนื่องจากมีคาดการณ์เพิ่มขึ้นว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะยุตินโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเร็ว ๆ นี้

ข้อมูลล่าสุด บ่งชี้ด้วยว่า ช่องว่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐและญี่ปุ่น ยังคงดึงดูดนักลงทุนญี่ปุ่นให้ซื้อหนี้อเมริกัน ความแตกต่างของผลตอบแทนพันธบัตรเช่นนี้ อาจสร้างความกดดันเงินเยนอ่อนค่า แม้รัฐบาลญี่ปุ่นเตือนว่า จะดำเนินการยับยั้งการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนที่มากเกินไปแล้วก็ตาม

ทั้งนี้ เงินเยนร่วงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งปีที่ 151.72 เยนต่อดอลลาร์ เมื่อวันที่ 31 ต.ค. และวันนี้เวลา 11.34 น. การซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 150.89 เยนต่อดอลลาร์ เกือบเทียบเท่าระดับเมื่อเดือน ต.ค.

อ้างอิง:Bloomberg