ไบเดนแนะ ‘พักรบชั่วคราว’ เปิดทางปล่อยตัวประกัน

ไบเดนแนะ ‘พักรบชั่วคราว’ เปิดทางปล่อยตัวประกัน

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แถลง อิสราเอลและฮามาสควร “พักรบชั่วคราว” เพื่อให้มีเวลาปล่อยตัวประกันที่ถูกควบคุมตัวในฉนวนกาซา แต่ไม่ได้พูดถึงการหยุดยิงเต็มรูปแบบ

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตอบข้อซักถามของผู้ประท้วงรายหนึ่ง ระหว่างระดมทุนที่เมืองมินนีแอโพลิส รัฐมินนิโซตา เมื่อวันพุธ (1 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น

“ผมอยากให้คุณเรียกร้องให้หยุดยิงเดี๋ยวนี้” ผู้ประท้วงโพล่งถามไบเดน ได้คำตอบว่า “ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องหยุดชั่วคราว การหยุดชั่วคราวหมายถึงการให้เวลาสำหรับเอานักโทษออกมา”

ผู้นำสหรัฐให้เครดิตนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล ที่ให้เวลา “นำตัวนักโทษออกมา” ก่อนเปิดการบุกภาคพื้นดิน และสำหรับการจูงใจให้ประธานาธิบดีอับเดล ฟัตตาห์ เอล ซีซี ของอียิปต์ ที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติและชาวปาเลสไตน์บาดเจ็บออกจากกาซาผ่านอียิปต์

ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน อียิปต์เปิดจุดข้ามแดนราฟาห์ที่ติดกับกาซา อนุญาตให้ประชาชนกลุ่มแรกรวมถึงชาวอเมริกันจำนวนหนึ่งหนีการสู้รบออกมาได้

ส่วนตัวไบเดนถูกกลุ่มหัวก้าวหน้า ชาวมุสลิม และชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับวิจารณ์อย่างหนักที่ไปสนับสนุนอิสราเอลโจมตีฮามาสทำให้พลเรือนในกาซาเสียชีวิตหลายพันคน 

ตอนมาระดมทุนที่มินนิโซตาไบเดนเจอผู้ประท้วงที่เขาไปสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลตอบโต้การสังหารหมู่ของฮามาสเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ผู้ประท้วงคนหนึ่งที่ตั้งคำถามกับไบเดนอ้างว่าเป็นแรบไบ (นักบวชยิว) เชื่อ เจสสิกา โรเซนเบิร์ก

“ผมเข้าใจอารมณ์ความรู้สึก นี่เป็นความลำบากอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับชาวอิสราเอล เป็นความลำบากอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับโลกมุสลิมเช่นกัน”

ในงานดังกล่าวไบเดนกล่าวด้วยว่า เขาสนับสนุนแนวทางสองรัฐให้สร้างรัฐปาเลสไตน์เคียงข้างอิสราเอล

แต่ก็ปกป้องสิทธิของอิสราเอลในการไล่ล่าฮามาสที่สหรัฐและสหภาพยุโรปมองว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย หลังจากฮามาสสังหารชาวอิสราเอลไปราว 1,400 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน จับเป็นตัวประกันอีกราว 240 คน

“ข้อเท็จจริงที่สำคัญคือฮามาสเป็นองค์การก่อการร้าย องค์การก่อการร้ายเต็มตัว” ประธานาธิบดีสหรัฐย้ำ

ในงานหนึ่งที่จัดขึ้นวันพุธเช่นกัน ไบเดนกล่าวว่า เขากระตุ้นให้เพิ่มความช่วยเหลือเข้าไปในกาซา และเรียกร้องให้อิสราเอลปฏิบัติการทางทหาร “สอดคล้องกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ที่ต้องปกป้องชีวิตพลเมืองเป็นสำคัญ”