‘ปานปรีย์’ เยือนเวียดนาม ปูทางไทยสู่ 'หุ้นส่วนยุทธศาสตร์สูงสุด'

‘ปานปรีย์’ เยือนเวียดนาม ปูทางไทยสู่ 'หุ้นส่วนยุทธศาสตร์สูงสุด'

รัฐมนตรีปานปรีย์เชื่อว่าในปี 2568 มูลค่าการค้าไทย-เวียดนามจะเติบโตตามเป้าที่ระดับ 25,000 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันมีมูลค่าการค้าราว 21,000 ล้านดอลลาร์

เวียดนาม  ประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด เต็มไปด้วยทรัพยากรทุนมนุษย์วัยทำงานจำนวนมาก ประกอบกับนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรม 4.0  ส่งเสริมสังคมดิจิทัล ยิ่งส่งผลให้เวียดนามเป็นประเทศน่าลงทุนมากในสายตาชาวต่างชาติ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในนั้น เห็นได้จากมูลค่าการค้าระหว่างกันสูงมาก

ด้วยประเทศเวียดนามเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย “ปานปรีย์ พหิทธานุกร” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จึงเดินทางเยือนเวียดนาม เพื่อร่วมประชุมและหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ด้านการค้าการลงทุน เศรษฐกิจ และการเมือง ถือเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรกของรองนายกฯ เพื่อปูทางกระชับความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม ก่อนนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน เดินทางเยือนอย่างเป็นทางการปีหน้า 

เวียดนามยังคงน่าลงทุน

สัปดาห์ก่อนรมว.กต. และคณะร่วมประชุมกับ “ThaiCham” หรือ “หอการค้าและอุตสาหกรรมไทย” ในเวียดนาม โดยมีผู้บริหารธุรกิจระดับต่าง ๆ จากหลายบริษัทเข้าร่วมประชุม อาทิ บริษัทเอสซีจี, ธนาคารกรุงเทพฯ, บริษัทอมตะ, เซ็นทรัลรีเทล, บีกริมม์พาวเวอร์ และเอ็กซ์ซิมแบงก์

ภาคเอกชนไทยกล่าวว่า จุดแข็งของเวียดนามคือ การเปิดการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งมีเอฟทีเอร่วมกับ 53 ประเทศทั่วโลก ทั้งยังมีสิทธิพิเศษให้กับนักลงทุนหลายประการ และมีประชากรวัยทำงานจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบการลงทุนในเวียดนามมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้ธุรกิจไทยในเวียดนามดำเนินงานช้า เพราะรัฐบาลเวียดนามปราบปรามคอร์รัปชันอย่างหนัก ทำให้เจ้าหน้าที่อนุมัติโครงการต่าง ๆ ด้วยความระมัดระวัง และค่าแรงในเวียดนามมีมูลค่าสูงเทียบเท่าค่าแรงของไทย แต่นักลงทุนยืนยันว่า ประเทศเวียดนามยังคงเป็นประเทศที่น่าลงทุน

เล็งประชุมครม.ร่วมไทย

นายกรัฐมนตรี “ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์” ของเวียดนาม เผยกับรัฐมนตรีต่างประเทศว่า ไทยและเวียดนามมีการค้าการลงทุนสูง และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตมากขึ้นไปอีก ซึ่งรัฐมนตรีปานปรีย์เชื่อว่า ในปี 2568 มูลค่าการค้าไทย-เวียดนามจะเติบโตตามเป้าที่ระดับ 25,000 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันมีมูลค่าการค้าราว 21,000 ล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ นายกฯเวียดนาม ได้เสนอให้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมระหว่างไทย-เวียดนาม หากเป็นไปได้ฝ่ายเวียดนามอยากให้มีการจัดประชุมภายในปีหน้า ด้านปานปรีย์พร้อมนำเรื่องนี้เสนอนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน พิจารณาต่อไป

สำหรับธุรกิจไทยในเวียดนามบางประเภทที่ยังไม่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาล รมว.ต่างประเทศได้ขอให้นายกฯฝ่ามช่วยภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะโครงการด้านพลังงานที่รออนุมัติ 12 โครงการ ซึ่งฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ให้คำมั่นช่วยหารือ และอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนไทยอย่างเต็มที่

สู่สัมพันธ์ “New Momentum”

รองนายกฯร่วมประชุมกับประธานคณะกรรมาธิการต่างประเทศพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม “เล หว่าย จุง” ในช่วงเย็นวันพุธ (25 ต.ค.) ซึ่งประธานฯเผยว่า อยากยกระดับความสัมพันธ์กับไทยสู่ “New Momentum” หรือ “การพัฒนาร่วมมือกันทุกด้าน” อาทิ ด้านการเมือง การทูตและเศรษฐกิจ และว่าทั้งสองประเทศอยู่ในจุดยุทศาสตร์ที่สำคัญ ถ้าพัฒนาความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ร่วมกัน อาจนำไปสู่การกระชับความสัมพันธ์กับเวียดนามในระดับสูงสุด

นอกจากนี้ ทั้งสองยังได้พูดคุยเกี่ยวกับภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นเป้าหมายการลงทุนจากทั่วโลก และเนื่องด้วยการเติบโตด้านเศรษฐกิจอาเซียนอยู่ในลำดับต้น ๆ ของโลก ดังนั้น เมื่อกลุ่มประเทศอาเซียนมีความสามัคคีกัน รักกันและไม่มีปัญหาต่อกัน จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการลงทุนให้กับอาเซียนได้มากขึ้น

“ถ้ากลุ่มอาเซียนมีความแข็งแรง อย่างประเทศไทยก็ดี ประเทศเวียดนามก็ดี ก็จะได้รับผลประโยชน์จากความแข็งแรงของอาเซียนไปด้วย” ปานปรีย์กล่าว

ไทยพร้อมต้อนรับผู้นำเวียดนาม

วันถัดมา รมว.กต. ร่วมประชุมกับ "บุ่ย แทงห์ เซิน" รัฐมนตรีต่างประเทศเวียดนาม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์รอบด้าน และมีความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ อาทิ ความมั่นคง เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว ไปจนถึงปฏิสัมพันธ์ระดับประชาชน และระดับภูมิภาค

ความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาค เวียดนามให้ความสำคัญกับกรอบความร่วมมือสามแม่น้ำ หรือ ACMECS รวมถึงความร่วมมือระดับท้องถิ่นกับท้องถิ่น ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการลงทุนระหว่างประเทศในเวลานี้ด้วย

รัฐมนตรีต่างประเทศได้ย้ำถึงความพร้อมต้อนรับการเยือนไทยของประธานสภาแห่งชาติเวียดนามเดือนธ.ค.ปีนี้ และได้เชิญบุ่ย แทงห์ เซินเยือนไทยอย่างเป็นทางการด้วยเช่นกัน

“นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งในการเปิดฉากความสัมพันธ์กับเวียดนาม เพราะได้มีการพูดถึงประเด็นความสัมพันธ์กันอย่างกว้างขวาง และหลากหลาย” รองนายกฯ กล่าวและว่า  การหารือครั้งนี้มีสิ่งสำคัญที่สุด คือ การยกระดับการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับเวียดนามในระดับสูงสุด หรือ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์รอบด้าน” ซึ่งไทยถือเป็นประเทศแรกในอาเซียน และคาดว่าหลังนายกรัฐมนตรีเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการ จะส่งผลให้ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างกันมากขึ้น