'นายกฯ เซลส์แมน' 2 เดือน เยือน 6 ประเทศ l กันต์ เอี่ยมอินทรา

'นายกฯ เซลส์แมน'  2 เดือน เยือน 6 ประเทศ l กันต์ เอี่ยมอินทรา

นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน สมควรจะถูกบันทึกไว้เป็นประวัติการณ์ว่าเป็นนายกฯไทยที่เดินทางไปต่างประเทศมากที่สุดภายในระยะเวลาอันสั้นหลังจากรับตำแหน่ง

ภายในระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ถึง 2 เดือน นายกฯเศรษฐา ทวีสิน เดินทางไปต่างประเทศแล้ว 6 ประเทศ สามารถพูดได้ว่าเป็นนายกฯเซลส์แมนอย่างแท้จริง

สมควรจะถูกบันทึกไว้เป็นประวัติการณ์ว่าเป็นนายกฯไทยที่เดินทางไปต่างประเทศมากที่สุดภายในระยะเวลาอันสั้นหลังจากรับตำแหน่ง ตั้งแต่ประเดิมเดินทางไปการประชุมสมัชชาสหประชาชาติที่สหรัฐ และต่อมาที่กัมพูชา บรูไน มาเลเซีย และล่าสุดเข้าร่วมการประชุมโครงการ Belt and Road ณ ประเทศจีน แล้วยังมีนัดหมายต่อที่ซาอุดีอาระเบียในช่วงปลายสัปดาห์นี้

และภาพข่าวที่ประชาชนคนไทยเห็นก็คือการจับไม้จับมือ เจรจาธุรกิจกับกลุ่มนักธุรกิจและบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติ พร้อมกับคำบอกกล่าวถึงการชักชวนเข้ามาลงทุนในประเทศเรา แน่นอนภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือนที่นายกฯเข้ามารับตำแหน่งนั้นยังน้อยเกินกว่าที่จะวิจารณ์ถึงผลลัพธ์ของการเดินทางเหล่านี้ แต่สิ่งที่น่าจะพูดได้คือ เราเห็นความพยายาม ตั้งใจดี ดูขยันขันแข็ง

ถูกต้องแล้วที่นายกฯควรจะเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของไทย ดึงความสนใจจากภาคธุรกิจ และย้ำให้นักลงทุนมั่นใจว่า ไทยเรานั้นเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพและน่าเข้ามาทำการค้าการลงทุน และด้วยภาพลักษณ์ ภูมิหลังทางการศึกษา ประสบการณ์ในภาคธุรกิจ สถานะทางสังคมแต่เดิมของนายกฯเอง ก็ถือว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้นำชาติใดเลย

ประเทศไทยของเรานั้นพึ่งพิงกลจักรที่สำคัญเพื่อขับเคลื่อนดึงเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศอยู่หลายกลจักร แต่ไม่มีกลจักรใดเลยที่จะสำคัญไปกว่า “การค้าการลงทุนกับต่างประเทศ” โดยเฉพาะทางส่งออก และอีกกลจักรหนึ่งคือ การท่องเที่ยว ซึ่งตรงนี้ใครๆ ก็ทราบ รัฐบาลที่ฉลาดจึงมุ่งเน้นการทำ Quick win เพื่อมุ่งเน้นผลประโยชน์ในระยะใกล้ภายใต้การใช้ทรัพยากรที่ไม่มาก

Quick win คือภาษาธุรกิจ คือกลยุทธ์ในทางธุรกิจที่เน้นปฎิบัติการที่ง่าย รวดเร็ว ใช้ทรัพยากรไม่มาก เพื่อมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม และ Quick win ที่รัฐบาลนี้เลือกทำก็คือ การแก้ระเบียบต่างๆ อาทิ การผ่อนปรนวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีน การจะขยายเวลาท่องเที่ยวในไทยให้กับนักท่องเที่ยวรัสเซีย หรือแม้กระทั่งการจะขยายระยะเวลาการปิดผับบาร์จาก 02.00 น. เป็น 04.00 น. เป็นต้น

นโยบาย Quick win เหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องใช้สติปัญญาระดับนายกฯเศรษฐาก็ได้ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ก็สามารถคิดได้ ไม่เกินความสามารถแต่อย่างใด ดังนั้น หากรัฐบาลมองแล้วว่าจะต้องดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทยมากกว่านี้ จำเป็นต้องทำมากกว่านี้ แค่นี้ถือว่าน้อยไป..น้อยไปมากๆ การตั้งเป้าว่านักท่องเที่ยวจะเข้าไทยในปีนี้ที่ 25 ล้านคน และปีหน้าที่ 35 ล้านคนก็น้อยน้อยไป เพราะช่วงก่อนโควิด ไทยเรามีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากสุดถึง 40 ล้านคนต่อปี

ขณะที่การดึงดูดเม็ดเงินจากต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นจากการลงทุนหรือการเพิ่มการค้าขายระหว่างประเทศนั้น ก็ยังไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรม หรือเห็นเป็นแผนแม่บทที่จะดึงดูด อาทิ ความพยายามเจรจาถึงการเข้ามาตั้งฐานรถยนต์ไฟฟ้า หรือพลังงานสะอาด แต่ในแง่ขององคาพยพที่จะรองรับ ทั้งในแง่ของห่วงโซ่อุปทาน ทั้งในแง่ของเทคโนโลยี ก็ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ เทียบกับเพื่อนบ้านของเรา อาทิ อินโดนีเซีย ก็วิ่งล้ำหน้าไทยเราไปนานแล้ว

การเพิ่มยอดการส่งออกนั้นก็มีกระทรวงพาณิชย์ที่ดูแลสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ซึ่งก็ทำได้ดี (ในระดับหนึ่ง) อยู่แล้วตั้งแต่อดีต ยังไม่เห็นนโยบายที่ชัดเจนจากรัฐบาลที่จะทำให้เม็ดเงินจากกลุ่มนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งก็สมควรเป็นการบ้านให้ฝ่ายบริหารกลับไปคิดและริเริ่มอะไรใหม่ๆ ที่ฉีกจากการทำนโยบายแบบเดิม เสมือนเป็นข้าราชการประจำ

ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเรื่องที่ยาก แต่เชื่อว่า นายกฯเศรษฐา จะทำได้ เพราะนายกฯเป็นคนเก่ง มีความขยัน ความตั้งใจที่ดี และมีกำลังใจสนับสนุนจากคนไทยทุกคน