ปืนใหญ่ถล่มค่ายผู้ลี้ภัย "เมียนมา" มีผู้เสียชีวิตแล้ว 29 คน

ปืนใหญ่ถล่มค่ายผู้ลี้ภัย "เมียนมา" มีผู้เสียชีวิตแล้ว 29 คน

เกิดเหตุยิงถล่มค่ายผู้ลี้ภัยเมียนมาในรัฐกะฉิ่น ใกล้ชายแดนจีน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 29 รายรวมถึงเด็กและผู้หญิง เลวร้ายสุดครั้งหนึ่งนับตั้งแต่รัฐประหาร 2564

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 29 คน รวมถึงเด็กและผู้หญิง จากเหตุปืนใหญ่ยิงถล่มค่ายผู้ลี้ภัยในรัฐกะฉิ่น ใกล้ชายแดนเมียนมาที่ติดกับประเทศจีน เมื่อช่วงใกล้เที่ยงคืนวานนี้ (9 ต.ค.) โดยถือเป็นหนึ่งในการโจมตีพลเรือนครั้งร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่ที่กองทัพเมียนมาก่อรัฐประหารเมื่อปี 2564

รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) หรือรัฐบาลเงาเมียนมา รวมถึงแหล่งข่าวอื่น ๆ กล่าวหาว่า เหตุสลดดังกล่าวเป็นฝีมือของกองทัพเมียนมา อย่างไรก็ดี โฆษกรัฐบาลเมียนมากล่าวว่ากองทัพไม่ใช่ผู้ก่อเหตุ พร้อมระบุว่าเหตุระเบิดครั้งนี้อาจเกี่ยวข้องกับยุทโธปกรณ์ของกลุ่มกบฏชาติพันธุ์เอง

"เรากำลังสืบสวนอยู่ เราดูแลสถานการณ์สันติภาพที่ชายแดนเสมอ" นายพลซอว์ มิน ตุน โฆษกรัฐบาลทหารเมียนมา เปิดเผยกับทางพีเพิล มีเดีย

แหล่งข่าวระบุว่า มีการยิงปืนใหญ่ใส่ค่ายผู้พลัดถิ่นภายในระยะประมาณ 5 กิโลเมตรจากฐานทัพในเมืองไลซา ซึ่งเป็นเมืองชายแดนที่ควบคุมโดยกองกำลังกะฉิ่นอิสระ (KIA) ที่ขัดแย้งกับกองทัพเมียนมามาหลายปี

ขณะที่สำนักข่าวของกะฉิ่นรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 30 คนจากเหตุดังกล่าว อย่างไรก็ดี ทางรอยเตอร์ไม่สามารถยืนยันจำนวนผู้เสียชีวิตนี้ได้

ด้าน NUG เรียกร้องให้โลกต้องดำเนินการเพื่อหยุดยั้งการโจมตีต่อพลเรือนอย่างโหดเหี้ยมและนำตัวนายพลของเมียนมาขึ้นศาล

"การกระทำของคณะทหารครั้งนี้เป็นอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ" จอ ซอ โฆษก NUG กล่าว โดยกล่าวเสริมว่า การโจมตีที่บริเวณชายแดนติดกับจีนแสดงให้เห็นว่า คณะรัฐประหารไม่เคารพการเรียกร้องสันติภาพและเสถียรภาพของประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีน

ขณะที่องค์การสหประชาชาติในเมียนมาโพสต์บนเฟซบุ๊กว่า รู้สึกกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับรายงานเหตุการณ์ดังกล่าว และระบุเสริมว่า "พลเรือนไม่ควรตกเป็นเป้าหมาย"

ทั้งนี้ เมืองไลซาถือเป็นเมืองหลวงของ KIA โดยตั้งอยู่ใกล้ชายแดนจีนและเป็นที่ตั้งของค่ายผู้พลัดถิ่นสำหรับพลเรือนจำนวนมาก นักศึกษารายหนึ่งซึ่งปัจจุบันอยู่ในเมืองไลซากล่าวว่า ทั้งเมือง "สั่นสะเทือน" จากแรงระเบิด และชาวบ้านกำลังอพยพออกจากพื้นที่เนื่องจากกลัวว่าจะถูกโจมตีอีกครั้ง