'Hermes' ทลายข้อกังวลอุตฯแบรนด์หรูซบ รายได้ทะลุ 6,700 ล้านดอลล์ โต 22%

'Hermes' ทลายข้อกังวลอุตฯแบรนด์หรูซบ รายได้ทะลุ 6,700 ล้านดอลล์ โต 22%

แอร์เมส (Hermes) ทลายข้อกังวลอุตสาหกรรมแบรนด์หรูเสี่ยงซบเซา ยอดขายครึ่งปีแรกโต 22% รายได้ทะลุ 6,700 ล้านดอลลาร์ กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 28% สู่ระดับ 2,900 ล้านดอลลาร์

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น อ้างอิงแถลงของแอร์เมสเมื่อวันศุกร์ที่ 28 ก.ค. เผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรก แอร์เมส (Hermes) ยอดขายโต 22% ในทุกตลาด สวนกระแสการชะลอตัวของอุตสาหกรรมในสหรัฐเป็นวงกว้าง รายได้โดยรวมทะลุ 6,700 ล้านดอลลาร์ มากกว่าปีก่อน ที่ทำรายได้ในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 5,500 ล้านดอลลาร์ และกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 28% สู่ระดับ 2,900 ล้านดอลลาร์

ยอดขายในฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น 24% ขณะที่ตลาดในทวีปอเมริกาโต 20% ซึ่งสหรัฐเป็นตลาดที่แอร์เมสจำหน่ายได้มาก

นอกจากนี้ หุ้นแอร์เมสปรับตัวสูงขึ้น 4% เมื่อวันศุกร์ที่ 28 ก.ค. ทำให้บริษัทมีมูลค่าตลาดแตะ 2.12 แสนล้านยูโร

“ลูกา โซลกา” จากสถาบันการลงทุน เบิร์นสไตน์ บอกว่า แอร์เมสทลายคู่แข่งในอุตสาหกรรมสินค้าหรูหราทั้งหมด พลังของแบรนด์แอร์เมสไม่มีข้อกังขา

“แอ็กเซล ดูมาส์” ประธานกรรมการบริหารของแอร์เมส บอกว่า

“เราเห็นว่าความน่าดึงดูดของสินค้าเราในสหรัฐไม่ลดน้อยลงเลย ผมคิดว่าตลาดสหรัฐยังเป็นดินแดนที่สร้างโอกาสให้กับธุรกิจอีกมาก”

ในประเทศจีน แบรนด์แอร์เมสได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ควบคุมโควิด-19 น้อยกว่ากลุ่มแบรนด์หรูอื่น ๆ เนื่องจากลูกค้ายังคงซื้อสินค้าในประเทศ ขณะที่ยอดขายแอร์เมสในเอเชีย ยกเว้นในญี่ปุ่นเติบโต 24% ในช่วงครึ่งปีแรกซึ่งส่วนใหญ่แอร์เมสจำหน่ายได้มากในจีน

ดูมาส์ เสริมว่า แม้จำนวนเงินโดยเฉลี่ยที่ลูกค้าต่างชาติใช้จ่ายมากกว่าลูกค้าในฝรั่งเศส แต่แอร์เมสมีลูกค้าชาวฝรั่งเศสในท้องถิ่นจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นฐานลูกค้าของธุรกิจ และแม้ว่ากลุ่มลูกค้ามั่งคั่งในเมืองเล็ก ๆ ของสหรัฐ จะตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมากกว่าเดิม แต่ยอดขายในร้านจำหน่ายใหญ่ ๆ ใจกลางเมืองอย่างนิวยอร์ก และลอสแองเจลิส ค่อนข้างไปได้สวย

ทั้งนี้ แอร์เมสเผยแพร่ผลประกอบการออกมา ในช่วงนักลงทุนเริ่มกังวลว่า การเติบโตของอุตสาหกรรมแบรนด์หรูในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากำลังเข้าสู่ภาวะขาลง เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว แต่แบรนด์ฝรั่งเศสนี้ กลับได้ประโยชน์จากการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าระดับไฮเอนด์ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีความยืดหยุ่นต่อแนวโน้มของเศรษฐกิจมากกว่าลูกค้ากลุ่มอื่น