‘สิงคโปร์’ ปิดสนามม้า เอาที่คืน-สร้างบ้านให้ประชาชน

‘สิงคโปร์’ ปิดสนามม้า เอาที่คืน-สร้างบ้านให้ประชาชน

รัฐบาลเตรียมเอาที่ดินสนามม้าแห่งสุดท้ายในสิงคโปร์คืน จ่อสร้าง “Public Housing” อพาร์ทเมนท์ - ที่อยู่อาศัยอุดหนุนโดยรัฐ หลังเผชิญ “วิกฤติบ้านแพง” ต่อเนื่อง เร่งผ่อนคลายภาวะตลาดที่อยู่อาศัยตึงตัว

สถานการณ์ “บ้านแพง” ในสิงคโปร์ยังวิกฤติต่อเนื่อง แม้ว่าที่ผ่านมา รัฐบาลจะมีความพยายามในการแก้ปัญหาด้วยการขึ้นภาษีบ้านชาวต่างชาติจาก 30 เปอร์เซ็นต์ เป็น 60 เปอร์เซ็นต์ ทะยานสู่บ้านราคาแพงที่สุดในเอเชียแซงหน้าฮ่องกง รวมทั้งยังเร่งพัฒนาโครงการ “HDB Flat” รัฐสร้างบ้านในราคาจับต้องได้เพิ่มเติม

ด้วยที่ดินอันจำกัดบนเกาะสิงคโปร์ ล่าสุด รัฐบาลเตรียมเอาที่คืนสนามม้าแห่งแรก และแห่งสุดท้ายในประเทศ เนื้อที่กว่า 750 ไร่ หวังพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยให้ประชาชน-แก้วิกฤติบ้านแพง โดยสำนักข่าวเดอะการ์เดียน (The Guardian) รายงานว่า สนามม้า “Singapore Turf Club” เตรียมนับถอยหลังก่อนปิดฉากอย่างเป็นทางการในวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2567 ท่ามกลางกระแสความนิยมการแข่งขันม้าที่ลดลง บวกกับความต้องการที่อยู่อาศัยที่มากขึ้น รัฐบาลจึงตัดสินใจเรียกคืนที่ดินบริเวณดังกล่าว เพื่อนำมาพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยต่อไป

ประธานสโมสร Singapore Turf Club กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ตนรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ แต่ก็เข้าใจถึงความต้องการที่ดินของสิงคโปร์เช่นกัน โดยหวังว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ที่ดินเพื่อประโยชน์ให้แก่คนรุ่นหลังต่อไป ทั้งนี้ การแข่งขันนัดสุดท้ายจะเกิดขึ้นในวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2567 ตรงกับการแข่งขัน “Grand Singapore Gold Cup” ครั้งที่ 100 หลังจากนั้นสนามม้าจะถูกส่งคืนให้แก่รัฐบาลเพื่อทำการปรับปรุงเพิ่มเติม

กระทรวงการคลังและการพัฒนาที่ดินกล่าวในแถลงการณ์ร่วมว่า สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีพื้นที่จำกัด รัฐบาลได้ทบทวนแผนการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างรอบด้าน เพื่อให้มั่นใจว่า จะสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนในปัจจุบันและอนาคตได้เป็นอย่างดี 

สำหรับประวัติศาสตร์ของสนามม้าแห่งนี้ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2385 โดย วิลเลียม เฮนรี แมคลอยด์ รีด (William Henry Macleod Read) พ่อค้าชาวสกอตแลนด์ ณ ตอนนั้นสนามม้าเป็นที่รู้จักในชื่อ “Singapore Sporting Club” เมื่อได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ได้มีการขยับขยายสนามไปทางตะวันตกของประเทศ และต่อมาได้ย้ายสถานที่มาอยู่บริเวณตะวันตกเฉียงเหนือแทน โดยสนามม้าแห่งนี้สามารถรองรับผู้เข้าชมได้ 30,000 คน

ตลอด 180 ปีที่ผ่านมา มีทั้งราชวงศ์ คนดัง เซเลบริตี้ และผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกมาเยือนที่แห่งนี้ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เคยเสด็จเยือน Sport Turf Club 2 ครั้ง คือ ในปี พ.ศ.2515 และเสด็จกับเจ้าชายฟิลิป พระสวามี ในปี พ.ศ.2549 

รัฐบาลสิงคโปร์ กล่าวว่า หลังจากนี้สนามม้าจะได้รับการพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัย ที่พักผ่อน - สันทนาการร่วมด้วย โดยการประกาศปิดสนามม้าแห่งนี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สิงคโปร์ต้องเผชิญกับความร้อนแรงของตลาดอสังหาฯ อย่างต่อเนื่อง ตามรายงานข่าวพบว่า ชาวสิงคโปร์ราว 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นเจ้าของบ้านที่รัฐมีส่วนช่วยอุดหนุน เนื่องจาก “Public Housing” หรือเคหะอพาร์ทเมนท์ที่สร้างขึ้นโดยรัฐมีราคาที่เอื้อมถึง ทำให้ความต้องการที่อยู่ประเภทนี้พุ่งสูงขึ้น 

รายงานจาก Urban Land Institute (ULI) ระบุเพิ่มเติมว่า ปัจจัยเรื่องการอพยพของชาวต่างชาติมายังสิงคโปร์คือ ตัวแปรหลักที่ทำให้ราคาบ้านสูง ทำให้คนหนุ่มสาวสิงคโปร์ไม่ต้องการย้ายออกจากบ้านเดิมไปสร้างตัวใหม่ ด้วยราคาค่าเช่า-ซื้อขายที่เกินความสามารถ โดยรัฐบาลคาดการณ์ว่า “Public Housing” จะแล้วเสร็จเพิ่มเติมอีก 10,000 ยูนิต ภายในปี พ.ศ.2568 หวังช่วยลดความร้อนระอุของตลาดที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์ได้

 

อ้างอิง: The Guardian

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์