นลท.คาดหุ้น‘เบิร์กไชร์ แฮธะเวย์’สดใสแม้ศก.ถดถอย

นลท.คาดหุ้น‘เบิร์กไชร์ แฮธะเวย์’สดใสแม้ศก.ถดถอย

ความเสี่ยงว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐและกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรอบใหม่ ผลักดันให้บรรดานักลงทุนเข้าซื้อหุ้นเชิงรับ หรือ Defensive stock ของเบิร์กไชร์ แฮธะเวย์

ความเสี่ยงว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐและกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรอบใหม่ ผลักดันให้บรรดานักลงทุนเข้าซื้อหุ้นเชิงรับ หรือ Defensive stock ซึ่งเป็นหุ้นที่ราคามีความผันผวนน้อยในทุกสภาวะตลาด ในทุกสภาพไม่ว่าตลาดจะดีหรือแย่ และเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง อีกทั้งความสามารถในการทำกำไรไม่ขึ้นอยู่กับสภาวะเศษฐกิจ และลงทุนหุ้นตามอย่างมหาเศรษฐีอมริกันวัย 92 ปีผู้นี้

ผลสำรวจล่าสุดของ Markets Live Pulse ระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและนักลงทุนรายย่อยมองว่าหุ้นของบริษัท Berkshire Hathaway Inc. มีมูลค่าราคาสูง ซึ่งเดิมพันว่ากลุ่มบริษัทดังกล่าวจะมีผลประกอบการดีกว่าตลาดสหรัฐ  โดยกว่าครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 352 คน มั่นใจว่าผลตอบแทนของบริษััทเบิร์กไชร์ในช่วง 5 ปีข้างหน้าจะสดใสกว่าดัชนี S&P 500 

การสำรวจนี้มีขึ้นก่อนหน้าที่จะมีการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของเบิร์กไชร์ แฮธะเวย์ในสัปดาห์นี้ 
 

เมื่อวันที่ 27เม.ย.กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เผยตัวเลขประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวม(จีดีพี)ในประเทศไตรมาส 1 ปี 2566 ครั้งที่ 1 .ว่า จีดีพีตามราคาคงที่ (จีดีพีที่แท้จริง) ช่วงสามเดือนแรกของปีนี้โตเพียง 1.1% ส่วนจีดีพีตามราคาปัจจุบัน (nominal GDP) โต 5.1%

อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐชะลอลงต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 4 ปี 2565 ที่จีดีพีที่แท้จริงเติบโต 2.6% ส่วนทั้งปี 2565 เป็นผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งแม้ว่าจะชะลอลงมาแล้วแต่ยังส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคอยู่

อัตราเงินเฟ้อที่ยังไม่ลดลงใกล้ระดับเป้าหมาย กับอัตราการเติบโตของจีดีพีที่ต่ำ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องคิดหนักว่าจะเลือกทางไหนระหว่างการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ กับการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งทั้งสองทางต้องการนโยบายการเงินที่ต่างกัน
 

แนวโน้มที่เป็นไปได้มากคือ เฟดจะตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยอีกอย่างน้อยหนึ่งครั้งในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค.นี้ 

ข้อมูลจาก CME FedWatch Tool คาดการณ์ว่ามีโอกาส 90% ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจะเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 10 นับตั้งแต่ที่ปรับขึ้นครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2565 และจะทำให้อัตราดอกเบี้ยขึ้นไปอยู่ที่ 5-5.25%