World Pulse: ‘The Last Mughal’ สิ้นแผ่นดิน สิ้นราชวงศ์

ช่วงนี้ถือเป็นช่วงเวลาดีๆ ของอินเดีย เริ่มตั้งแต่ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปี 2565 ขยายตัว 7% ขณะที่จีนทั้งปีโตแค่ 3% ในด้านความบันเทิงภาพยนตร์ RRR (Rise Roar Revolt)
ก็ไปคว้ารางวัลออสการ์ตัวแรกมาให้อินเดียในสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากผลงานเพลง Naatu Naatu
งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติปีนี้ที่จะมีไปจนถึงวันที่ 9 เม.ย. เห็นทีต้องหาหนังสือเกี่ยวกับอินเดียมาอ่าน แนะนำเล่มนี้! ‘The Last Mughal เมื่อบัลลังก์ล่ม เดลีร้าง’ งานเขียนของวิลเลียม ดัลริมเพิล (William Dalrymple) แปลโดยสุภัตรา ภูมิประภาส
แม้เหตุการณ์ผ่านมานานมากแล้วคนส่วนใหญ่ยังรับรู้ว่าอินเดียเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศทั่วโลก รวมถึงพม่า (ขอเรียกชื่อนี้แทนเมียนมา) แต่คนที่สนใจประวัติศาสตร์จะรู้ด้วยว่า เพราะการตกเป็นอาณานิคมทำให้พระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่า ต้องไปสิ้นพระชนม์ที่อินเดีย ร่างของพระองค์ถูกฝังไว้ ณ เมืองรัตนคีรีแหล่งพำนักสุดท้ายโดยมิได้กลับแผ่นดินมาตุภูมิอีกเลย เช่นเดียวกับจักรพรรดิบะห์ดูร์ ชาห์ ซาฟาร์ แห่งราชวงศ์โมกุล จักรพรรดิองค์สุดท้ายของอินเดีย เมื่อบัลลังก์ล่มพระองค์ถูกอังกฤษเนรเทศมาอยู่พม่า สิ้นพระชนม์ที่นั่น พระศพถูกฝังไว้โดยไม่ได้มีโอกาสกลับมาตุภูมิเช่นกัน
คนไทยรู้จักพระเจ้าธีบอมากกว่าจักรพรรดิแห่งโมกุล แต่ห้วงเวลาการสิ้นราชวงศ์ จุดจบของกษัตริย์องค์สุดท้ายน่าสนใจเสมอ The Last Mughal บอกเล่าถึงช่วงเวลานั้น เดิมทีก่อนที่อินเดียจะตกเป็นอาณานิคมอังกฤษอย่างสมบูรณ์ที่เรียกว่า “บริติชราช” (British Raj) บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ
(อีสต์อินเดียคอมปานี) กลุ่มพ่อค้าอังกฤษที่ได้รับกรรมสิทธิ์จากราชสำนักและรัฐสภาให้ทำการค้าในตะวันออกตั้งแต่ปี 1599 ได้เข้ามาแสวงหากำไรจากการค้าในอินเดีย คอมปานีมีลูกจ้างฝ่ายพลเรือนทำหน้าที่บริหารจัดการ มีทหารรับจ้างชาวพื้นเมือง เรียกว่า ‘ซีปอย’ ในกองทัพเพื่อคุ้มครองการดำเนินธุรกิจการค้าของคอมปานี ทหารซีปอยมีทั้งมุสลิม ซิกข์ และฮินดู ซึ่งซีปอยชาวฮินดูนั้น ส่วนใหญ่ถูกคัดสรรมาจากชาวฮินดูวรรณะสูง
หลังจากนั้นคอมปานีใช้กำลังทหารเข้ายึดครองรัฐและเขตแดนในอินเดียเพิ่มขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งปี 1857 ทหารซีปอยที่ไม่พอใจคอมปานีหลายเรื่องก่อกบฏ เป็นชนวนให้คอมปานีเข้ายึดเดลี ราชธานีของโมกุล เกิดเหตุ “บัลลังก์ล่ม เดลีร้าง” ทั้งหมดนี้กระทำการภายใต้พระนามของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งอังกฤษ เกาะห่างไกลที่สามารถยึดครองอนุทวีปอินเดียได้ พระนามของราชินีพระองค์หนึ่งถูกกล่าวขานอย่างกึกก้อง แต่ชะตากรรมกษัตริย์โมกุลองค์สุดท้ายกลับมืดมิด จักรพรรดิบะห์ดูร์ ชาห์ ซาฟาร์ ผู้ไร้พิษสง สนใจเพียงแค่อุทยานวรรณกรรม จัดงานชุมนุมกวีไม่เว้นวัน เริ่มตั้งแต่เย็นย่ำข้ามคืนไปจนแสงแรกของดวงตะวันฉาบฟ้า พระองค์ถูกอังกฤษกล่าวหาว่าสนับสนุนกบฏซีปอย โทษถึงขั้นริบบัลลังก์แล้วเนรเทศให้สิ้นวงศ์พงศา
เดือนพ.ย. 1862 สี่ปีหลังนิราศ จักรพรรดิบะห์ดูร์ ชาห์ ซาฟาร์ สิ้นพระชนม์ที่ร่างกุ้ง ในฐานะ “นักโทษของรัฐ” ถูกฝังในหลุมศพอันต่ำต้อยที่อังกฤษจงใจทำให้ไร้ร่องรอย จนกระทั่งดัลริมเพิล นักประวัติศาสตร์ชาวสกอตผู้หลงไหลอินเดีย ค้นพบ “เอกสารการก่อกบฏ” ที่เกี่ยวกับเดลีในปี 1857 บนชั้นเก็บเอกสารของหอจดหมายเหตุแห่งชาติอินเดีย เอกสารเหล่านี้เป็นภาษาเปอร์เซียและอุรดู บันทึกในช่วงเวลาที่เกิดเหตุของฝ่ายอินเดีย ฝ่ายราชสำนักโมกุล และคำร้องทุกข์ของชาวเมืองทั่วไป อาทิ ช่างปั้นหม้อ หญิงงามเมือง คนทำขนมหวาน และคนแบกน้ำ ข้อมูลดังกล่าวกลายเป็นหนังสือชื่อ The Last Mughal ที่เรียงร้อยมาจากปากคำของผู้คนร่วมสมัย ซึ่งไม่เคยถูกอ้างถึงมาก่อนในหนังสือเล่มใด
เขียนมาถึงตรงนี้อาจมีคำถามว่า ในเมื่อเรื่องมันนมนานมาแล้ว ประวัติศาสตร์อาณานิคมเป็นเรื่องอ่อนไหวที่ไม่มีใครอยากพูดถึง มาคุยกันเรื่องอนาคตและความร่วมมือไม่ดีกว่าหรือ ขอบอกว่า อดีตนั่นล่ะเป็นตัวกำหนดอนาคต สำหรับคนที่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ‘The Last Mughal เมื่อบัลลังก์ล่ม เดลีร้าง’ คือคำตอบว่า ทำไมหลายคนต้องลุ้นตอนที่ริชี ซูแน็ค ชิงชัยหัวหน้าพรรคอนุรักษนิยม และดีใจเมื่อเขาก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เข้าใจถึงความผูกพันหวานปนขมระหว่างอังกฤษกับอินเดีย ไม่แปลกใจที่อังกฤษมีนักการเมืองเชื้อสายอินเดีย ปากีสถาน และอื่นๆ มากมายหลายคน
สำหรับคนที่ชอบหนังอินเดีย อ่านแล้วจะเข้าใจถึงความคับแค้นแทบระเบิดของรามและภีม สองฮีโรยุคอาณานิคม เข้าใจว่าทำไมต้องแดนซ์กระจายในเพลง Natuu Natuu และสำหรับนักอ่านทั่วไป วันที่ 6 พ.ค. สมเด็จพระเจ้าชาร์ลสที่ 3 ทรงประกอบพิธีบรมราชาภิเษก วงในรายงานมาว่า พระราชพิธีมีรายละเอียดหลายอย่างที่สะท้อนให้เห็นสหราชอาณาจักรยุคใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม และถ้าไม่อ่าน ‘The Last Mughal เมื่อบัลลังก์ล่ม เดลีร้าง’ แล้วจะเข้าใจได้อย่างไรว่า แผ่นดินคิงชาร์ลสแตกต่างจากแผ่นดินควีนวิกตอเรียอย่างไร เรียกได้ว่าอ่านเล่มนี้แล้วตอบโจทย์ได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเลยทีเดียว







