ราชาฤกษ์ "จีน" เริ่มแล้วเดินทางครั้งใหญ่ ใต้เงาโควิด

ราชาฤกษ์ "จีน" เริ่มแล้วเดินทางครั้งใหญ่ ใต้เงาโควิด

ชาวจีนถือให้วันเสาร์ที่ผ่านมา เป็นวันแรกของ “ชุนยุ่น” เป็นช่วงระยะเวลา 40 วัน ในการเดินทางของเทศกาลตรุษจีน ซึ่งก่อนหน้ามีการแพร่ระบาดโควิด-19 เรารู้กันดีว่า ช่วงเวลานี้เป็นการเดินทางประจำปีของผู้คนจำนวนมากที่สุดในโลก และปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมหาศาล

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า วันหยุดนักขัตฤกษ์ช่วงตรุษจีน ปี 2566 จะเริ่มอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม ถือเป็นวันหยุดแรกนับตั้งแต่ปี 2563 และไม่มีข้อจำกัดด้านการเดินทางภายในประเทศ

ทางการจีนยึดวันที่ 8 ม.ค.2566 ในเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหญ่ในวันนี้ จีนเปิดพรมแดนติดกับฮ่องกงอีกครั้ง และยุติข้อกำหนดสำหรับผู้เดินทางมาจากต่างประเทศที่ต้องกักตัว นั่นเป็นการเปิดประตูให้ชาวจีนจำนวนมาก สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มีการปิดพรมแดนเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน และยังไม่ต้องกลัวจะต้องถูกกักตัว เมื่อเดินทางกลับประเทศ 

(ในทางโหราศาสตร์ทั้ง จีน และไทย ยกให้เป็นราชาฤกษ์ ในการเดินทางและทำธุรกิจสำคัญๆ ซึ่งราชาฤกษ์ในช่วงเดือน ม.ค. ไปถึงเดือน มี.ค. 2566 ได้แก่ 8 9 และ 25 ม.ค. , 4 14 และ 20 ก.พ. , 13 มี.ค. ตามรายงานของเนชั่นทีวี)  

กระทรวงคมนาคมจีน คาดว่านักเดินทางมากกว่า 2 พันล้านคนจะเดินทางในระหว่าง 40 วันนี้ เพิ่มขึ้น 99.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี หรือประมาณ 70.3% ของจำนวนการเดินทางในปี 2562

ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นในจีนทำให้เกิดความกังวลไปทั่วโลก และขณะนี้มีมากกว่า 10 ประเทศเรียกร้องให้ตรวจหาเชื้อโควิดกับนักเดินทางชาวจีน ขณะที่องค์การอนามัยโลกมองว่า ข้อมูลจำนวนชาวจีนเข้ารักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตโควิดอาจต่ำเกินจริง

ชาวจีนพากันแสดงความเห็นในโลกโซเชียล อย่างในเว่ยป๋อ และทวิตเตอร์ บ้างประกาศอิสรภาพได้กลับบ้านเกิด และฉลองวันตรุษจีนกับครอบครัวเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ถึงอย่างไร หลายคนบอกพวกเขาจะไม่เดินทางในปีนี้ เพราะกังวลผู้สูงอายุที่บ้านจะติดเชื้อ

หมี่ เฟิง โฆษกคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน กล่าวในวันเสาร์ (7 ม.ค.) ว่า ระบบสาธารณสุขและการรักษาในชนบทอาจไม่เพียงพอกับการรักษา หากกลับมาระบาดใหม่ 

อย่างไรก็ตาม ทางการจีนยกเลิกนโยบายซีโร่โควิด-19 เมื่อเดือนที่แล้ว ได้กลายเป็นหมุดหมายใหม่ของนักลงทุนในการฟื้นเศรษฐกิจประเทศ หลังมาตรการควบคุมโควิดเข้มงวดที่สุดในโลกทำความเสียหายไปแล้วกว่า 17 ล้านล้านดอลลาร์ หรือตกต่ำที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษ