“จีน” จะผ่อนปรนคุมพรมแดน เพิ่มเที่ยวบิน-ลดกักตัวต่างชาติ

“จีน” จะผ่อนปรนคุมพรมแดน เพิ่มเที่ยวบิน-ลดกักตัวต่างชาติ

ในขณะที่ทั่วโลกกำลังจับตาการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 3 ของ สี จิ้นผิง ล่าสุดจีนเตรียมเพิ่มเที่ยวบินหลังประสบปัญหาโควิดมาเป็นเวลานาน

“จีนไม่สามารถพัฒนาได้หากปราศจากโลก และโลกก็ต้องการจีนเช่นกัน” เป็นคำกล่าว ประธานาธิบดีสมัยที่ 3 “สี จิ้นผิง” บ่งบอกนัยสำคัญทิศทางการนำพาประเทศจีนภายใต้การดำรงตำแหน่ง ประธานาธิบดีสมัยที่ 3 จากนี้ไปจะเป็นอย่างไร ซึ่งทั่วโลกรวมทั้งไทย ต่างจับตามอง ทุกจังหวะก้าวของผู้นำจีนจากนี้ไป เพื่อพิจารณาก่อนดำเนินนโยบายใดๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจมากที่สุด

ล่าสุดสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน (CAAC) เปิดเผยวานนี้ (26 ต.ค.) ว่าจีนวางแผนเพิ่มจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศของสายการบินภายในประเทศและต่างประเทศเป็น 840 เที่ยวต่อสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค.-25 มี.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้น 106 % จากช่วงเดือนต.ค. 2564 จนถึงปลายเดือนมี.ค.ปีนี้ และมีข้อมูลว่าการเดินทางระหว่างประเทศกระเตื้องขึ้นแล้วในไตรมาส 3/2565 โดยการเดินทางเพิ่มขึ้น 73 % เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2565 ซึ่งเที่ยวบินโดยสารภายในประเทศทั้งหมดจะอยู่ที่ 92,970 เที่ยวในช่วง 5 เดือนข้างหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

แม้ว่าจะยังต่ำกว่าระดับก่อนที่จะเกิดระบาดโรคโควิด-19 แต่ก็นับเป็นสัญญาณที่ดีกับทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศไทย ที่พึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยว และหมายมั่นปั้นมือว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนมากเท่ากับก่อนมีการแพร่ระบาด โควิด-19 ซึ่งคาดการณ์ว่าสิ้นปี 2565 จะมีนักท่องเที่ยวประมาณ 100 ล้านคน-ครั้ง ซึ่งเหลือเวลาอีก 2 เดือนจะสิ้นปี หากมีการเดินทางอีก 20 ล้านคน-ครั้งต่อเดือน จะสามารถสร้างรายได้ 656,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่อเนื่องไปถึงปี 2566 ที่คาดว่าจะถึง  2.4 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 25 ล้านคน และนักท่องเที่ยวไทย 180 ล้านคน-ครั้ง

มีข้อมูลว่าจีน เริ่มมีการส่งสัญญาณผ่อนปรนการควบคุมพรมแดนเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่สายการบินรายใหญ่ของจีน ออกมาระบุว่าได้วางแผนเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศ แต่ยังคงยึดมั่นต่อการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์และการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นวงกว้างต่อไป ขณะเดียวกันสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เจ้าหน้าที่จีนกำลังหารือว่าจะลดช่วงเวลากักตัวสำหรับนักเดินทางต่างชาติ ลงเหลือ 7 วันอีกด้วย ซึ่งข้อมูลจาก วาริไฟลต์ (VariFlight) ระบุว่า เที่ยวบินขาเข้าและออกจากจีนยังอยู่ที่ประมาณ 95% ของช่วงก่อนเกิดโรคโควิด-19 ระบาด ซึ่งหากพิจารณาจากข้อมูลนี้ก็นับว่าเข้าใกล้เคียงกับสถานการณ์ปกติก่อนโควิดระบาดแล้ว 

สัญญาณบวกของจีนน่าจะส่งดีต่อประเทศไทย ซึ่งทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนควรจะเร่งเดินหน้านโยบาย Thailand Wellness Economic Corridor (TWC) ให้กับกลุ่ม Medical and Wellness Tourism ใน 12 สาขาเศรษฐกิจเวลเนส เพื่อสร้างราย

จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่มีแนวโน้มเติบโตสูง  โดยเฉพาะมูลค่าการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ อยู่ในอันดับที่ 4 จาก 118 ประเทศทั่วโลก และเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่ใน 15 อันดับแรกของโลก แสดงให้เห็นถึงความน่าดึงดูดใจของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยอยู่ในระดับที่สูงและทำเงินให้กับประเทศได้มากเลยทีเดียว