เปิด7แผนตั้งรับของ‘ปูติน’หลังรัสเซียถอยทัพในยูเครน

เปิด7แผนตั้งรับของ‘ปูติน’หลังรัสเซียถอยทัพในยูเครน โดยขณะนี้รัสเซียกำลังเพลี่ยงพล้ำในสมรภูมิรบภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งทุกทางเลือกมาพร้อมกับความเสี่ยงด้านภูมิศาสตร์การเมือง
บรรดาผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า ยูเครนกำลังสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อรัสเซีย ด้วยการโจมตีตอบโต้กลับที่ได้ผลอย่างมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและสิ่งนี้กำลังส่งแรงสะเทือนอย่างรุนแรงไปทั่วกองทัพรัสเซีย
ผู้บัญชาการกองทัพยูเครนระบุว่า ทหารยูเครนสามารถยึดหมู่บ้านทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครนคืนมาจากทหารรัสเซียได้เป็นจำนวนมาก ทั้งยังสามารถขับไล่กองทัพรัสเซียให้ถอยร่นจนประชิดพรมแดน ถือเป็นสถานการณ์ที่สร้างความประหลาดใจให้กับบรรดาผู้ติดตามสงครามยูเครนอย่างใกล้ชิด
“เคร็ก อัลเบิร์ต” ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยออกัสตา บอกว่า ตอนนี้ดูเหมือนกองทัพรัสเซียจะล้มเหลวทั้งด้านการส่งกำลังบำรุง ด้านยุทธศาสตร์และ ยุทธวิธี ทุกอย่างล้มครืน แนวหน้าพังทลาย ทหารต่างหนีเอาชีวิตรอดและทิ้งอาวุธ กระสุน ตลอดจนยานพาหนะต่าง ๆ สภาพคล้ายกับถอยทัพอย่างกระทันหัน
ส่วน "ลุค คอฟฟีย์" ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันฮัดสัน บอกว่า ความสำเร็จของยูเครนในสนามรบเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างมากของสงครามที่ดำเนินมานานกว่า6 เดือน
“ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ของยูเครน ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ชาติตะวันตกกำลังถกเถียงกันเรื่องการจัดส่งความช่วยเหลือทางทหารและด้านมนุษยธรรมเพิ่มเติมให้แก่ยูเครน” คอฟฟีย์ กล่าว
นักวิเคราะห์จากสถาบันฮัดสันยังกล่าวด้วยว่า เมื่อทหารรัสเซียเริ่มโจมตีเป้าหมายที่เป็นของพลเรือน หรือสาธารณูปโภคต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวังของกองทัพรัสเซียที่เริ่มรู้ตัวว่ากำลังพ่ายแพ้ในสมรภูมิรบ
อย่างไรก็ตาม แม้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ยังไม่ได้ออกมาประกาศเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์การถอยทัพของรัสเซียในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครนอย่างเป็นทางการ แต่หากข้อมูลด้านข่าวกรองของชาติตะวันตกเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ ก็ถือว่าปูตินกำลังเผชิญแรงกดดันอย่างมากจากบรรดาชาวรัสเซียที่มีแนวคิดชาตินิยม
ล่าสุด สำนักข่าวรอยเตอร์รวบรวมทางเลือกต่าง ๆ ที่ปธน.ปูติน อาจต้องใช้หากรัสเซียกำลังเพลี่ยงพล้ำในสมรภูมิภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งทุกทางเลือกมาพร้อมกับความเสี่ยงด้านภูมิศาสตร์การเมือง
เริ่มจากทางเลือกที่ 1. คือรีบรวบรวมกำลังและจัดกำลังทัพใหม่เพื่อโหมโจมตีระลอกใหม่ ในส่วนนี้ นักวิเคราะห์ด้านการทหารของรัสเซีย มีความเห็นว่า รัสเซียต้องตรึงกำลังทหารบริเวณแนวหน้า อย่าเพิ่งรุกคืบเข้าไปในยูเครน แต่ให้จัดกำลังทัพใหม่รวมทั้งโจมตีตอบโต้ใส่ยูเครนทันที
แต่ชาติตะวันตกยังไม่มั่นใจว่ารัสเซียมีสรรพกำลัง ทั้งจำนวนกำลังพลและอาวุธ เพียงพอที่จะทำเช่นนั้นหรือไม่ เมื่อพิจารณาจากความเสียหายที่เกิดกับกำลังพลและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ของรัสเซียตลอดกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์มีความเห็นว่า ปธน.ปูติน อาจต้องตัดสินใจว่าจะปรับเปลี่ยนตัวขุนศึก คือนายพลระดับสูงของกองทัพ รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม “เซอร์เก ชอยกู” บุคคลใกล้ชิด ตามความต้องการของบรรดาผู้ที่มีแนวคิดชาตินิยมหรือไม่ แม้ที่ผ่านมา ปธน.ปูติน มักไม่ค่อยปลดผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเร่งรีบเมื่อเจอแรงกดดัน
2. คือการเคลื่อนกำลังสมทบ ซึ่งตลอด5ปีที่ผ่านมา รัสเซียมีกำลังพลสำรองประมาณ 2 ล้านคน และประธานาธิบดีปูตินอาจใช้กำลังพลส่วนนี้เข้าไปสมทบในยูเครน ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถทำได้แต่ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนและประจำการ
นักวิเคราะห์มีความเห็นว่าวิธีนี้จะได้รับความนิยมในหมู่สมาชิกกลุ่มชาตินิยม แต่อาจไม่ถูกใจผู้ชายชาวรัสเซียที่อยู่ในเมืองใหญ่ซึ่งไม่ค่อยสนับสนุนการทำสงคราม อีกทั้งวิธีนี้อาจไม่ตรงกับสิ่งที่ประธานาธิบดีปูตินเรียกว่า “ปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครน” ซึ่งหมายถึงการจำกัดเป้าหมายการโจมตีในสงคราม เพราะจะเป็นการเข้าสู่ “สงครามแบบเต็มรูปแบบ”
3. รอให้ “วิกฤตพลังงาน” ในฤดูหนาวทำหน้าที่ ซึ่งแหล่งข่าวใกล้ชิดกับรัฐบาลรัสเซีย กล่าวกับรอยเตอร์ว่า ปธน.ปูติน คาดหวังว่าราคาพลังงานที่จะสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว บวกกับการขาดแคลนพลังงานในยุโรป จะสร้างความยากลำบากให้แก่ชาติในยุโรปในการสนับสนุนด้านอาวุธแก่ยูเครน และอาจทำให้ชาติตะวันตกทั้งหลายพยายามโน้มน้าวให้ยูเครนยอมวางอาวุธ
4. ขยายเป้าหมายการโจมตีด้วยขีปนาวุธ โดยหลังจากเกิดการล่าถอยในภาคตะวันออกเฉียบเหนือของยูเครน กองทัพรัสเซียได้หันไปใช้วิธีโจมตีด้วยขีปนาวุธใส่เครือข่ายสาธารณูปโภคของยูเครนมากขึ้น ทำให้ไฟฟ้าดับในหลายพื้นที่ สัญญาณโทรศัพท์และน้ำประปาถูกตัดขาด
5. ยกเลิกหรือลดขนาดข้อตกลงขนส่งธัญพืชจากยูเครน 6. จัดทำข้อตกลงสันติภาพ โดยรัฐบาลรัสเซียเคยระบุว่า เมื่อเวลาเหมาะสม รัสเซียจะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ยูเครนทำตามเพื่อให้เกิดข้อตกลงสันติภาพ ในขณะที่ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ยืนยันว่าตนจะใช้กำลังเพื่อปลดปล่อยประเทศจากการยึดครองรัสเซีย ซึ่งรวมถึงแคว้นไครเมียด้วย ซึ่งเป็นจุดยืนที่อาจทำให้ข้อตกลงสันติภาพเกิดขึ้นได้ยาก
7. ประเด็นนิวเคลียร์ โดย"โทนี เบรนตัน" อดีตทูตอังกฤษประจำรัสเซีย เตือนว่า ปธน.ปูติน อาจใช้อาวุธนิวเคลียร์จริง ๆ หากรู้สึกว่าตนเองกำลังจนตรอกหรือกำลังพ่ายแพ้ แต่ “เบน ฮอดจ์ส” อดีตนายพลแห่งกองทัพอากาศสหรัฐ เห็นด้วยว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้น แต่โอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก เพราะจะไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบจากเรื่องนี้ ซึ่งปธน.ปูตินและคนใกล้ชิดของเขาก็คงไม่อยาก เลือกวิธีที่เหมือนการฆ่าตัวตาย
ที่ผ่านมา รัสเซียปฏิเสธข้อกล่าวหาจากชาติตะวันตกว่าอาจนำอาวุธนิวเคลียร์ไปใช้ในยูเครน ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะทำให้มีผู้เสียชีวิตในวงกว้าง และจะทำให้สหรัฐ รวมถึงชาติตะวันตกต้องกระโจนเข้าสู่สงครามกับรัสเซียโดยตรงชนิดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้





