จับตาประชุมพรรคคอมฯจีน‘สี จิ้นผิง’ครองอำนาจต่อสมัย3

จับตาประชุมพรรคคอมฯจีน‘สี จิ้นผิง’ครองอำนาจต่อสมัย3

พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศและระหว่างประเทศ ทบทวนผลงานตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และเดินหน้าผลักดันนโยบายสร้างความรุ่งเรืองโดยเท่าเทียมกัน

จีนกำหนดวันประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์กลางเดือนต.ค. ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะได้บริหารประเทศต่อเป็นสมัยที่3 และมีวาระร้อนหลายวาระให้ที่ประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์พิจารณา รวมถึง ประเด็นความสัมพันธ์ช่องแคบไต้หวันที่นับวันจะทวีความตึงเครียดยิ่งขึ้น

การประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งจัดขึ้นทุก 5 ปี จะเริ่มในวันที่ 16 ต.ค.นี้ ซึ่งจะทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง วัย 69 ปีเข้าใกล้การกุมอำนาจต่อเป็นสมัยที่ 3 และถือเป็นการท้าทายธรรมเนียมปฏิบัติดั้งเดิมที่บัญญัติให้ประธานาธิบดีแต่ละคนสามารถรั้งตำแหน่งผู้นำแดนมังกรได้เพียง 2 สมัย รวมทั้งสิ้น 10 ปี

รัฐบาลปักกิ่งกำหนดวันเปิดการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 หลังจากการประชุมกรมการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (โปลิตบูโร) สิ้นสุดลงเมื่อวันอังคาร (30 ส.ค.) ขณะที่การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 7 จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค.เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน

พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะดำเนินการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับสภาพการณ์ระหว่างประเทศและภายในประเทศ รวมถึงทบทวนผลงานตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และเดินหน้าผลักดันนโยบายสร้างความรุ่งเรืองโดยเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นนโยบายที่ปธน.สี จิ้นผิง ขับเคลื่อนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งในประเทศ โดยความคิดริเริ่มดังกล่าวที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในแวดวงการศึกษาและเทคโนโลยี และสร้างความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุนบางส่วน

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า หลังจากที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจนนำไปสู่การยกเลิกข้อจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2561 หลายฝ่ายจึงคาดการณ์ว่าปธน.สีจะอยู่ในอำนาจต่อเป็นสมัยที่ 3 แม้ล่วงเลยวัยเกษียณที่ 68 ปีตามธรรมเนียมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนแล้วก็ตาม 

หากธรรมเนียมดังกล่าวมีผลต่อเจ้าหน้าที่คนอื่น ในปีนี้จะมีตำแหน่งคณะกรรมการกรมการเมืองของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่างลงจำนวน 2 ตำแหน่งจากทั้งหมด 7 ตำแหน่ง ขณะที่ตำแหน่งคณะกรรมการบริหารสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จะว่างลง 9 ตำแหน่งจากทั้งหมด 25 ตำแหน่ง

ในการประชุมครั้งสำคัญที่จัดต่อเนื่องนานนับสัปดาห์นี้ ทั่วโลกต่างจะจับตาว่าปธน.สีจะส่งสัญญาณผ่อนปรนการใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์หรือไม่ เพราะแม้ว่ากลยุทธ์ดังกล่าวช่วยจำกัดจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดให้อยู่ในระดับต่ำ แต่ก็จุดชนวนความไม่พอใจให้แก่ประชาชนและส่งผลให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงอย่างมาก

ประธานาธิบดีสี วัย 69 ปี รวมศูนย์อำนาจอย่างมั่นคงมาตลอดนับตั้งแต่ได้รับตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เมื่อ 10 ปีก่อน เสริมสร้างอำนาจและบทบาทในสังคมของพรรคคอมมิวนิสต์ รวมทั้งปราบฝ่ายต่อต้านเกือบทั้งหมด 

นอกจากนั้น จีนภายใต้การนำของเขาก็มีบทบาทในเวทีโลกมากขึ้นในฐานะผู้นำชาติกำลังพัฒนา เทียบเคียงสหรัฐ ที่เป็นผู้นำโลกมาตลอดในยุคหลังสงครามเย็น

"สตีฟ เจิ้ง" ผู้อำนวยการสถาบัน SOAS China ของมหาวิทยาลัยลอนดอน คาดการณ์ว่า ประธานาธิบดีสี จะผลักดันนโยบายทำให้จีนกลายเป็นศูนย์กลางของโลกมากขึ้นอีก และเพิ่มความสำคัญของพรรคให้เป็นผู้นำในทุกด้านภายในประเทศ

ข่าวการประชุมประจำปีสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีขึ้นในช่วงที่ไต้หวันยิงเตือนโดรนของกองทัพจีนที่บินบริเวณนอกชายฝั่งไต้หวันในวันอังคาร (30ส.ค.) ได้ไม่นานหลังจากผู้นำไต้หวันประกาศกร้าวพร้อมตอบโต้อย่างรุนแรง

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ถือเป็นครั้งแรกที่ไต้หวันเริ่มยิงเตือนเครื่องบินของกองทัพจีนบริเวณรอบเกาะไต้หวัน และการยิงเตือนนี้เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีไช่ อิง เหวิน ของไต้หวัน กล่าวในวันเดียวกันว่า ได้สั่งการให้กองทัพไต้หวันตอบโต้กลับอย่างรุนแรง ต่อสิ่งที่ผู้นำไต้หวันระบุว่าเป็นการยั่วยุจากจีน

ผู้นำไต้หวัน วิจารณ์จีนเกี่ยวกับการใช้โดรนและกิจกรรมการเคลื่อนไหวทางการทหารของจีนว่าเป็นการทำศึกสงครามแดนสีเทา ด้วยวิธีข่มขู่และกดดัน ที่น่าจะมุ่งหวังทำให้กองกำลังไต้หวันอ่อนล้าพร้อม ๆ กับทดสอบความสามารถในการโต้ตอบของไต้หวันไปด้วยในตัว

ประธานาธิบดีไช่ กล่าวกับบรรดาทหารเรือในวันอังคารด้วยว่า “ยิ่งศัตรูยั่วยุไต้หวันมากเท่าไหร่ ไต้หวันยิ่งต้องนิ่งสงบลงมากเท่านั้น ไต้หวันจะไม่ยั่วยุให้เกิดความขัดแย้ง แต่จะเดินหน้าฝึกความอดทนอดกลั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ไต้หวันจะไม่พร้อมตอบโต้กลับ”      

ประธานาธิบดีไต้หวัน สั่งการให้กระทรวงกลาโหมไต้หวัน ใช้มาตรการตอบโต้กลับที่จำเป็นและรุนแรง เพื่อปกป้องน่านฟ้าของไต้หวัน แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดเพิ่มเติม

ไต้หวันระบุว่า โดรนของกองทัพจีนพยายามบินเฉียดเข้าใกล้หมู่เกาะเล็ก ๆ ใกล้กับชายฝั่งของจีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจการเดินหน้าซ้อมรบของกองทัพจีนเพื่อตอบโต้การเยือนไต้หวันของประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ เมื่อต้นเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งโฆษกด้านกลาโหมหมู่เกาะจินเหมิน ระบุว่า มีการใช้กระสุนจริงในช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. เข้าใส่โดรนที่พยายามเข้าใกล้หมู่เกาะ ก่อนที่โดรนกลุ่มดังกล่าวจะบินมุ่งหน้ากลับไปยังจีน

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความเห็นจากทางการจีน ในช่วงเวลาที่รายงานข่าวนี้ แต่ในวันจันทร์(29 ส.ค.) กระทรวงต่างประเทศของจีน ได้ปัดข้อร้องเรียนของไต้หวันเกี่ยวกับโดรนว่าไม่มีอะไรที่ต้องทำให้เป็นประเด็น ขณะที่มีคลิปเหตุการณ์ทหารไต้หวันปาหินเข้าใส่โดรนของกองทัพจีน ถูกนำออกเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ของจีนในขณะนี้

ทั้งนี้ หมู่เกาะจินเหมินของไต้หวัน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเซียเหมินในมณฑลฝูเจี้ยนของจีน และเป็นพิกัดที่จีนและไต้หวันอยู่ห่างกันไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น