‘โกทู กรุ๊ป’ ซื้อแพลตฟอร์มคริปโทฯ แม้ขาดทุนช่วงครึ่งปีแรก

‘โกทู กรุ๊ป’ ซื้อแพลตฟอร์มคริปโทฯ แม้ขาดทุนช่วงครึ่งปีแรก

"โกทู กรุ๊ป" ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอินโดนีเซียทุ่มเงิน 8.4 ล้านดอลลาร์ ซื้อแพลตฟอร์มคริปโทเคอร์เรนซี แม้ขาดทุนช่วงครึ่งแรกของปีนี้มากเป็นประวัติการณ์เป็นเงินถึง 14.17 ล้านล้านรูเปี๊ยะห์

บริษัทโกทู โกเจ็ก โทโกพีเดีย ซึ่งเป็นสตาร์ตอัปเทคโนโลยีรายใหญ่สุดของอินโดนีเซีย รุกเข้าสู่ธุรกิจคริปโทเคอร์เรนซีด้วยการเข้าซื้อกิจการบริษัทพีที คริปโท แมกซิมา คอยน์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทฯ ของอินโดนีเซีย มีเป้าหมายที่จะขยายการให้บริการของบริษัท

ในรายงานที่ยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย โกทู ระบุว่า บริษัทตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นทั้ง 100% ของบริษัทพีที คริปโท แมกซิมา คอยน์ คิดเป็นมูลค่า 1.2484 หมื่นล้านรูเปี๊ยะห์ (8.38 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

ทั้งนี้ โกทูซึ่งระดมเงินได้ 1.1 พันล้านดอลลาร์จากการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก (IPO) ในช่วงต้นปีนี้ แถลงว่า ข้อตกลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการด้านการเงินที่หลากหลาย โดยโกทูเชื่อว่า เทคโนโลยีบล็อกเชนจะมีบทบาทในฐานะธุรกิจกระแสหลักด้านการเงินในอนาคต

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า บริษัทพีที คริปโท แมกซิมา คอยน์ เป็นหนึ่งใน 25 แพลตฟอร์มคริปโทฯ ที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานกำกับดูแลการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า หรือ Bappebti

ชาวอินโดนีเซียนิยมลงทุนในคริปโทฯ อย่างมากในขณะนี้ โดยข้อมูลจาก Bappebti ระบุว่า ปริมาณการทำธุรกรรมในสินทรัพย์คริปโทฯ มีมูลค่าสูงถึง 859.4 ล้านล้านรูเปียห์ (5.770 หมื่นล้านดอลลาร์) ในปี 2564  เพิ่มขึ้นกว่า 1,000% เมื่อเทียบกับระดับของปี 2563

โกทู ระบุในเอกสารที่เป็นผลประกอบการช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย.ว่าขาดทุนเพิ่มขึ้นจาก 6.6 ล้านล้านรูเปี๊ยะห์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนรายได้ช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นเป็น 3.3 ล้านล้านรูเปี๊ยะห์ สะท้อนให้เห็นว่าการดำเนินธุรกิจให้มีผลกำไรของบริษัทยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก นับตั้งแต่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา 
 

โกทู กรุ๊ป เป็นบริษัทที่เกิดจากการควบรวมกิจการระหว่างโกเจ็ก ผู้ให้บริการแอพพลิเคชั่นเรียกรถและชำระเงินของอินโดนีเซีย และโทโกพีเดีย บริษัทอีคอมเมิร์ซสัญชาติเดียวกัน โดยทั้งสองบริษัทเสร็จสิ้นการควบรวมกิจการร่วมกันเมื่อวันที่ 17พ.ค.

 โกเจ็ก ระบุว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้ถือเป็นข้อตกลงทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซียแต่ไม่ได้เปิดเผยมูลค่าของข้อตกลงว่าเท่าใด ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์เคยรายงานก่อนหน้านี้ว่า มูลค่าการควบรวมกิจการของทั้ง 2 บริษัทอยู่ที่ประมาณ 18,000 ล้านดอลลาร์

 หลังควบรวมกิจการแล้ว “อันเดรีย โซลิสต์โย” ประธานของโกเจ็กขึ้นดำรงตำแหน่งซีอีโอ ขณะที่ “แพทริค เกา” ประธานของโทโกพีเดีย ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทแห่งใหม่ นอกจากนี้ โซลิสต์โยยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริการทางการเงินและการชำระเงินของ GoTo Financial ด้วย

 การควบรวมกิจการครั้งนี้ช่วยให้โกเจ็กและโทโกพีเดียสามารถแข่งกันกับคู่แข่งสัญชาติสิงคโปร์อย่างแกร็บ และซี (Sea) บริษัทอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มชื่อดังอย่างช็อปปี้ได้

 โกทู กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจแบบบูรณาการคือรวมบริการอีคอมเมิร์ซ บริการออนดีมานด์ และบริการด้านการเงินจากโกเจ็กและโทโกพีเดียเข้าด้วยกัน โดยในปี 2563 ยอดการทำธุรกรรมของทั้ง 2 บริษัทสูงถึง 1,800 ล้านครั้ง รวมมูลค่ากว่า 22,000 ล้านดอลลาร์

นายเกา ประธานของโกทู กรุ๊ป กล่าวว่า “โมเดลธุรกิจของเรามีความหลากหลาย มีเสถียรภาพ และมีความยั่งยืนมากขึ้น เรามียอดการทำธุรกรรมในปริมาณมากและความถี่สูงของโกเจ็ก เมื่อรวมกับยอดการทำธุรกรรมบนอี-คอมเมิร์ชของโทโกพีเดียที่มีปริมาณมากและมีความถี่ปานกลาง จะทำให้มูลค่าของโกทู กรุ๊ปคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของอินโดนีเซีย”

ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อินโดนีเซีย มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจราว 5.8% ต่อปี ทั้งยังมีกำลังแรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดี โดยคาดว่าภายในปี 2573 เศรษฐกิจอินโดนีเซียจะก้าวขึ้นเป็นอันดับที่ 7 ของโลก