โรงแรมจีนแห่ควบกิจการ รับมือรายได้หดจากล็อกดาวน์

โรงแรมจีนแห่ควบกิจการ รับมือรายได้หดจากล็อกดาวน์

อุตสาหกรรมโรงแรมในจีนกำลังเข้าสู่กระแสคลื่นแห่งการควบรวมกิจการ ขณะที่การท่องเที่ยวในจีนพยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหาที่ยืนหลังจากทางการประกาศล็อกดาวน์ทั้งในนครเซี่ยงไฮ้และเมืองใหญ่อื่นๆ

อุตสาหกรรมโรงแรมในจีนกำลังเข้าสู่กระแสคลื่นแห่งการควบรวมกิจการ ขณะที่การท่องเที่ยวในจีนพยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหาที่ยืนหลังจากทางการประกาศล็อกดาวน์ทั้งในนครเซี่ยงไฮ้และเมืองใหญ่อื่นๆ

ในช่วงปลายเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา เจ้อเจียง เอสเอสเอดับเบิลยู บูติก โฮเทลส์ ประกาศครอบครองกิจการสองแห่ง ซึ่งการทำข้อตกลงครั้งนี้มีมูลค่ารวมกันแล้ว 140 ล้านหยวน (20.9 ล้านดอลลาร์)และบริษัทมีแผนขยายเครือข่ายไปยังที่ต่างๆอีกกว่า 300 แห่ง

บีทีจี โฮมอินส์ โฮเทลส์ (กรุ๊ป) เชนโรงแรมดังที่มีเครือข่ายทั่วจีนประมาณ 6,000 แห่ง กำลังสร้างแรงจูงใจเพื่อดึงดูดบรรดาโรงแรมขนาดเล็กกว่าให้เข้ามาร่วมในเครือข่ายเพื่อให้เป็นกลุ่มโรงแรมที่แข็งแกร่งขึ้น โดยนับจนถึงปลายปี 2564 นี้กลุ่มโรงแรมแห่งนี้จะมีโรงแรมต่างๆเข้ามาร่วมด้วยประมาณ 1,700แห่งเพิ่มขึ้นจากประมาณ 800 แห่งเมื่อปีก่อนหน้านี้
 

“โรงแรมอิสระกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตเพราะปัญหาแบรนด์ไม่เป็นที่รู้จักและบริหารจัดการธุรกิจอย่างไม่มีประสิทธิภาพมากพอ แต่การเข้าไปร่วมกับเชนโรงแรมชั้นนำเป็นทางเลือกที่ดีและมีโรงแรมหลายเล็กๆจำนวนมากเลือกที่จะควบรวมกิจการ”ตัวแทนบีทีจี กล่าว

หลังจากรายได้ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง มีโรงแรมหลายแห่งและนักลงทุนจำนวนมากพยายามขายธุรกิจโรงแรมของตัวเองทิ้ง ดังจะเห็นได้จากมีทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับโรงแรมกว่า 8,500 แห่งที่ถูกนำออกประมูลบนแพลทฟอร์มของบริษัทอาลีบาบา โฮลดิง นับจนถึงต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา

ทุกวันนี้ จีนใช้มาตรการจำกัดการเดินทางเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกำจัดโรคโควิด-19ให้เหลือศูนย์เปอร์เซนต์ ซึ่งมาตรการต่างๆเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจการบริการ รวมทั้งธุรกิจท่องเที่ยว  

กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ระบุว่า ช่วงต้นเดือนมิ.ย. เทศกาลแข่งเรือมังกรที่จัดขึ้นสามวันมีชาวจีนในประเทศเข้ามาเที่ยวในเทศกาลนี้ 79.61 ล้านคน ลดลง 11%  ส่วนการเดินทางในช่วงเทศกาลเช็งเม้งภายในประเทศในเดือนเม.ย.ปรับตัวร่วงลง 26% และลดลง30% ในช่วงวันหยุดวันแรงงานในเดือนพ.ค.  
 

ธุรกิจการบินเองก็ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ของทางการจีนเช่นกัน โดยสายการบินรายใหญ่สุดของประเทศ เช่น ไชนา เซาเทิร์น แอร์ไลน์รองรับผู้โดยสารลดลงมากถึง 41% เหลือเพียง 20.34 ล้านคนในช่วงเดือนม.ค.-เม.ย.ส่วนสายการบินคู่แข่งสำคัญคือแอร์ ไชนา และไชนา อีสเทิร์น แอร์ไลน์ก็เจอปัญหาผู้โดยสารลดลงกว่า 40% เช่นกัน  

สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน ระบุว่า บรรดาผู้เล่นรายใหญ่ที่สามารถต้านทานมรสุมลูกนี้ได้ยังเผชิญปัญหาแนวโน้มที่ไม่แน่นอน  แม้ว่าการใช้จ่ายด้านการเดินทางเมื่อปีที่แล้วมีมูลค่าเกือบ 3 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 30% จากเมื่อปี 2563 และเพิ่มขึ้น50% ของระดับเมื่อปี 2562           

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด วานนี้ (3ก.ค.)จีนประกาศว่าจะผ่อนคลายมาตรการข้อจำกัดการเข้าเมืองสำหรับพลเมืองชาวอเมริกัน โดยอนุญาตให้เข้าประเทศได้ในกรณีที่เป็นการแวะพักเพื่อเดินทางไปยังประเทศที่ 3

สถานทูตจีนในกรุงวอชิงตันของสหรัฐ ออกประกาศว่า จีนจะผ่อนคลายมาตรการข้อจำกัดการเข้าเมืองสำหรับพลเมืองชาวอเมริกัน โดยอนุญาตให้เข้าประเทศได้ในกรณีที่เป็นการแวะพักเพื่อเดินทางไปยังประเทศที่ 3 ซึ่งเป็นการผ่อนผันกฎคุมเข้มของจีนในการควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโรคโควิด-19

นโยบายที่ให้ผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่เป็นศูนย์ ซึ่งมีเป้าหมายในการลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุดจากนักเดินทางจากต่างประเทศที่ติดเชื้อไวรัส ทำให้เป็นอุปสรรคสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ ทั้งเรื่องการออกและต่ออายุหนังสือเดินทางของพลเมืองชาวจีน ไปจนถึงข้อกำหนดเรื่องการกักโรคที่เข้มงวดเมื่อเดินทางมาถึงประเทศจีน

แถลงการณ์ของสถานทูตจีนในสหรัฐ ระบุว่า พลเมืองอเมริกันที่มีผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นลบ และต้องการจะเดินทางมายังประเทศจีน สามารถแจ้งความจำนงและรับรหัสสุขภาพสีเขียวเพื่อเดินทางจากสหรัฐ หรือประเทศที่ 3 ในอดีตสถานทูตจะเป็นผู้ออกรหัสให้กับพลเมืองอเมริกันที่บินโดยตรงจากสหรัฐเท่านั้น

จีนผ่อนคลายมาตรการเรื่องนี้ให้กับพลเมืองของประเทศอื่นๆ เมื่อไม่นานมานี้ มาตรการเข้มงวดบวกกับจำนวนเที่ยวบินตรงจากสหรัฐมายังประเทศจีนที่มีอยู่จำกัด ทำให้ราคาตั๋วเครื่องบินพุ่งสูงถึง 10,000 ดอลลาร์