ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 321 จุดเมินเฟดส่งสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย

ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 321 จุดเมินเฟดส่งสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันศุกร์ (1ก.ค.)ปรับตัวร่วงลง 321 จุด แม้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยและตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ปิดตลาดปรับตัวขึ้นก่อนปิดทำการในวันจันทร์ที่ 4 ก.ค. เนื่องในวันชาติสหรัฐ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 321.83 จุด หรือ 1.1% ปิดที่ 31,097.26 จุด

ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 1.1% ปิดที่ 3,825.33 จุด

ดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 0.9% ปิดที่ 11,127.85 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลง 11.3% ในไตรมาส 2 ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลงมากกว่า 16% ทำสถิติปรับตัวย่ำแย่ที่สุดเทียบรายไตรมาสนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2563 ส่วนดัชนีแนสแด็กทรุดตัวลง 22.4% ทำสถิติย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551

นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงมากกว่า 15% ในช่วงครึ่งปีแรก ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลงมากกว่า 20% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบกว่า 50 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2513 ขณะที่ ดัชนีแนสแด็กทรุดตัวลงเกือบ 30%

ลาดหุ้นวอลล์สตรีท ถูกกดดันในปีนี้ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และความกังวลที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญภาวะถดถอยจากการที่เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ การที่เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญภาวะถดถอยได้ใกล้เป็นความจริง หลังจากที่เฟดสาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มหดตัว 1.0% ในไตรมาส 2 จากเดิมที่บ่งชี้ว่ามีแนวโน้มขยายตัว 0.3%

ตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวได้สร้างความกังวลเกี่ยวกับการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 1 หดตัว 1.6% ซึ่งหากเศรษฐกิจสหรัฐหดตัวต่อไปในไตรมาส 2 ก็จะทำให้สหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากเศรษฐกิจหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน

ด้านนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวยืนยันว่า เฟดมีความมุ่งมั่นในการสกัดเงินเฟ้อ แม้การใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินจะชะลอการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ก็จะไม่สร้างความเสี่ยงที่รุนแรง

"เรามีความมุ่งมั่นที่จะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่เรามีเพื่อทำให้เงินเฟ้อปรับตัวลง ซึ่งการกระทำดังกล่าวก็คือการลดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งแม้จะมีความเสี่ยง แต่ผมก็มองว่านี่ไม่ใช่ความเสี่ยงใหญ่ที่สุดต่อเศรษฐกิจ โดยความผิดพลาดมากกว่าที่อาจเกิดขึ้นก็คือความล้มเหลวในการรักษาเสถียรภาพต้านราคา" นายพาวเวลกล่าวในการประชุมประจำปีของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ที่จัดขึ้นที่โปรตุเกสในสัปดาห์นี้

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับภาคการผลิตของสหรัฐ หลังสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐดิ่งลงสู่ระดับ 53.0 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2563 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 54.9 จากระดับ 56.1 ในเดือนพ.ค.

ดัชนีภาคการผลิตได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่ ซึ่งหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ขณะที่การจ้างงานปรับตัวลงเช่นกัน