'ปธน.อินโดฯ'กับบทบาทผู้คลายปมขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน

'ปธน.อินโดฯ'กับบทบาทผู้คลายปมขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน

'ปธน.อินโดฯ'กับบทบาทผู้คลายปมขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน โดยผู้นำอินโดนีเซียได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และแก้ไขวิกฤตอาหารและพลังงานทั่วโลก

ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ของอินโดนีเซีย เยือนยูเครนและพบกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี เพื่อผลักดันสันติภาพระหว่างยูเครนและรัสเซีย ถือเป็นผู้นำเอเชียคนแรกที่เยือนยูเครนนับจากเกิดสงคราม

ประธานาธิบดีวิโดโด ที่รู้จักในชื่อ“โจโกวี” พร้อมด้วยภริยาเดินทางด้วยรถไฟจากโปแลนด์ถึงกรุงเคียฟของยูเครนเมื่อวันพุธ(29มิ.ย.) และเดินทางต่อไปยังเมืองเออร์ปินใกล้กรุงเคียฟ เพื่อสำรวจความเสียหายของย่านพักอาศัยของพลเรือนหลังการโจมตีของรัสเซีย

หลังจากนั้น ได้เข้าพบเพื่อหารือกับประธานาธิบดีเซเลนสกีที่กรุงเคียฟ ด้วยความหวังว่าจะสามารถรื้อฟื้นการเจรจาสันติภาพระหว่างยูเครนและรัสเซีย และบอกว่าแม้เป็นเรื่องยากมากที่จะบรรลุเป้าหมาย แต่เขาย้ำถึงความสำคัญของแนวทางสันติวิธี และพร้อมจะนำสารจากประธานาธิบดีเซเลนสกีไปแจ้งต่อประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เมื่อเขาเดินทางไปเยือนรัสเซียในวันพฤหัสบดี(30มิ.ย.)ตามเวลาท้องถิ่น

ประธานาธิบดีอินโดนีเซียตั้งความหวังว่าจะโน้มน้าวให้ผู้นำรัสเซียยอมตกลงหยุดยิงกับยูเครน และเปิดท่าเรือของยูเครนเพื่อให้ผลผลิตธัญพืชสามารถส่งออกป้อนตลาดโลกได้อีกครั้ง

โจโกวี เป็นประธานกลุ่มจี20 ในปีนี้ และเป็นผู้นำโลก 1 ใน 6 คน ที่ได้รับแต่งตั้งจากสหประชาชาติให้เป็นตัวแทนของกลุ่มตอบสนองวิกฤตโลก (จีซีอาร์จี)ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาความหิวโหยและความยากจนสืบเนื่องจากสงครามในยูเครน และก่อนรัสเซียบุกยูเครนเมื่อปลายเดือน ก.พ. และยูเครนเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกข้าวสาลีให้อินโดนีเซียรายใหญ่ที่สุด

โจโกวี กล่าวก่อนออกเดินทางเพื่อไปร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำจี7 ในฐานะแขกรับเชิญที่เยอรมนี โดยย้ำความจำเป็นในการยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และแก้ไขวิกฤตอาหารและพลังงานทั่วโลก

ชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่สนับสนุนความคิดของประธานาธิบดีโจโกวี ที่จะเข้าพบผู้นำยูเครนและรัสเซีย และหลายคนคาดหวังว่าเขาจะแสดงบทบาทในฐานะผู้ไกลเกลี่ย แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าความคาดหวังว่า โจโกวีจะผลักดันสันติภาพได้สำเร็จ อาจเกินความเป็นจริงเพราะความซับซ้อนของสงคราม
 

 ขณะที่ “แอฟริล เฮนส์” ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ(ดีเอ็นไอ) เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินยังคงต้องการยึดครองดินแดนส่วนใหญ่ของยูเครน แต่จากการที่กองกำลังของรัสเซียเริ่มอ่อนแรงลงจากการสู้รบนั้น มีแนวโน้มว่ารัสเซียจะยึดพื้นที่ของยูเครนได้ในช่วงสั้น ๆ เท่านั้น

เฮนส์ ระบุว่า จากการประเมินข้อมูลข่าวกรองของสหรัฐเกี่ยวกับสงครามในยูเครนที่ดำเนินมากว่า 4 เดือนนั้น หน่วยงานด้านข่าวกรองหลายแห่งเห็นตรงกันว่า สงครามจะยังคงยืดเยื้อต่อไป

“ในระยะสั้น ภาพของสงครามจะยังคงค่อนข้างดุเดือด ท่าทีของรัสเซียต่อชาติตะวันตกนั้นจะแข็งกร้าวขึ้น” เฮนส์ กล่าว

ความเห็นของเฮนส์สะท้อนให้เห็นว่า เม็ดเงินหลายพันล้านดอลลาร์ที่สหรัฐและประเทศอื่น ๆ ช่วยยูเครนจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยนั้น อาจไม่ช่วยพลิกเกมในการต่อกรกับรัสเซียได้ในเร็ววัน

เฮนส์ ยังระบุด้วยว่า ปูตินจะยังคงเจตนารมณ์เดิมในการบุกโจมตีดินแดนส่วนใหญ่ของยูเครน แม้ยูเครนจะสามารถต้านทานการบุกยึดกรุงเคียฟเมื่อเดือนก.พ.ไว้ได้ ซึ่งทำให้รัสเซียเปลี่ยนเป้าหมายหันไปยึดภูมิภาคดอนบาสทางตะวันออกแทน

"เราคิดว่า ปูตินยังคงมีเป้าหมายทางการเมืองเหมือนเดิมอย่างที่เราเคยคิดไว้ นั่นคือต้องการยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ของยูเครนให้ได้"

ทั้งนี้ เฮนส์ แสดงความเห็นดังกล่าว หลังจากที่ผู้นำประเทศสมาชิกของนาโต (NATO) ประณามว่ารัสเซียเป็น “ภัยคุกคามโดยตรง” ต่อความมั่นคงของนาโต และให้คำมั่นที่จะเพิ่มสมรรถนะกองทัพยูเครนให้ทันสมัยมากขึ้น รวมถึงยืนหยัดเคียงข้าง “กองทัพผู้กล้าของยูเครน”

ความเห็นของผู้อำนวยการดีเอ็นไอมีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีไบเดน ประกาศเมื่อวันพุธ(29มิ.ย.)ว่า สหรัฐจะเพิ่มกำลังด้านการทหารในยุโรป ซึ่งรวมถึงการเพิ่มจำนวนเรือพิฆาตที่ประจำการในสเปน และการส่งทหารไปประจำการในประเทศอื่น ๆ

ปธน.ไบเดน ซึ่งอยู่ระหว่างการร่วมประชุมสุดยอดขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ(นาโต้) ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปนว่า สหรัฐจะจัดตั้งสำนักงานใหญ่ถาวรของกองบัญชาการทหารบกที่ 5 ที่โปแลนด์ เพิ่มจำนวนทหาร 3,000 คน และเจ้าหน้าที่อีก 2,000 คน หมุนเวียนประจำการในโรมาเนีย รวมทั้งส่งเครื่องบินรบไอพ่น เอฟ-35 อีกสองลำไปประจำที่อังกฤษ

“ผมขอประกาศในวันนี้ว่า สหรัฐจะเสริมกำลังทหารในยุโรปเพื่อตอบรับกับสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงที่เปลี่ยนไป เมื่อต้นปีนี้ เราได้เพิ่มกำลังทหารในยุโรปอีก 20,000 คนเพื่อตอบโต้ต่อท่าทีก้าวร้าวของรัสเซีย ซึ่งทำให้ขณะนี้มีทหารอเมริกันประจำการในยุโรปแล้ว 100,000 คน”ปธน.ไบเดน กล่าว

ปธน.ไบเดน ยังกล่าวด้วยว่า สหรัฐจะปรับกำลังทหารในยุโรปโดยอ้างอิงตามภัยคุกคามที่เกิดขึ้นและการปรึกษาใกล้ชิดกับพันธมิตรของสหรัฐ

เมื่อวันพุธ นาโต้อนุมัติกรอบยุทธศาสตร์ใหม่ ( Strategic Concept ) ที่มุ่งเป้ารับมือภัยคุกคามจากรัสเซียและจีน พร้อมระบุว่ารัสเซียคือภัยคุกคามโดยตรงที่สำคัญที่สุด ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่มีการพูดถึงความท้าทายจากจีนที่มีต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ขององค์การนาโต้

ที่ประชุมสุดยอดนาโต้ยังได้ตกลงเพิ่มการสนับสนุนให้แก่ยูเครนเพื่อป้องกันการโจมตีจากรัสเซีย

โดยก่อนหน้านี้ “เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก” เลขาธิการองค์การนาโต้ กล่าวว่า จะเพิ่มจำนวนทหารที่เตรียมพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉินอีก 7 เท่าเป็นมากกว่า 300,000 คน ท่ามกลางสถานการณ์ที่ถือเป็นวิกฤติด้านความมั่นคงที่ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง