เศรษฐกิจโลกซึมต้นเหตุราคาสเตเบิลคอยน์ดิ่ง

เศรษฐกิจโลกซึมต้นเหตุราคาสเตเบิลคอยน์ดิ่ง

กูรูในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี โบ้ยความผิดให้ปัญหาเศรษฐกิจโลกว่าเป็นตัวการฉุดราคาสเตเบิลคอยน์ทรุด พร้อมเตือนลงทุนด้วยความระมัดระวัง ขณะที่จีน ขึ้นแท่นแหล่งขุดบิตคอยน์รายใหญ่อันดับสองโลก แม้รัฐบาลปักกิ่งสั่งห้าม

     “ไมเคิล โนโวแกรทซ์” มหาเศรษฐีนักลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี และผู้บริหารบริษัทกาแล็กซี ดิจิทัล โฮลดิงส์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับการทรุดตัวลงของราคาเหรียญสเตเบิลคอยน์ TerraUSD หรือ UST และเหรียญลูนา (Luna) หลังจากที่ก่อนหน้านี้เขาพยายามเลี่ยงที่จะให้สัมภาษณ์สื่อในฐานะที่เขาเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของบริษัทเทอร์ราฟอร์ม แลบส์ (Terraform Labs) ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหรียญเทอร์รา และลูนา

โนโวแกรทซ์ กล่าวว่า การที่เขาเก็บตัวเป็นเวลานานกว่า 1 สัปดาห์หลังจากราคาเหรียญ UST และลูนาร่วงลงอย่างหนักเป็นเพราะต้องการใช้เวลาในการไตร่ตรองภาวะเศรษฐกิจ และบทบาทบริษัทของเขาในอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซี

ซึ่งเขาบอกว่า สาเหตุที่ทำให้ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีปั่นป่วนในช่วงที่ผ่านมา เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลก และระบุว่า การทรุดตัวลงของสเตเบิลคอยน์ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นที่มีต่ออุตสาหกรรมคริปโทฯ และระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi)

โนโวแกรทซ์ กล่าวด้วยว่า บริษัทกาแล็กซี ดิจิทัล ได้เข้าลงทุนในเทอร์ราฟอร์ม แลบส์ ในไตรมาส 4 ปี 2563 และนับตั้งแต่นั้นก็เริ่มสร้างความสัมพันธ์อันดีกับ“โด ควอน” ผู้ก่อตั้งเทอร์ราฟอร์ม แลบส์ และได้ร่วมกันโปรโมทสเตเบิลคอยน์บนโซเชียลมีเดียและสื่อต่าง ๆ 

ในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา เขาได้ใช้ทวิตเตอร์ในการโพสต์ภาพรอยสักใหม่ที่เป็นรูปหมาป่าหอนในคืนเดือนเพ็ญ พร้อมกับมีคำว่า “Luna” ติดไว้ด้วย

โนโวแกรทซ์ ระบุว่า กระแสการแห่ถอนเหรียญ UST อย่างตื่นตระหนกไม่ต่างจากภาพของประชาชนที่แห่ถอนเงินออกจากธนาคาร โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มเกิดขึ้นในเดือนนี้ เมื่อเหรียญ UST ดิ่งหลุดจากระดับ 1 ดอลลาร์ที่ตรึงไว้กับดอลลาร์สหรัฐ โดยในบรรดาเหรียญดิจิทัลทั้งหมด เหรียญลูนาทรุดตัวลงจนเกือบไม่เหลือค่า

โนโวแกรทซ์ คาดการณ์ว่า ความผันผวนในตลาดคริปโทฯ อาจจะเกิดขึ้นต่อไปอีกระยะหนึ่ง และสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจมหภาคยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างความท้าทาย แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เชื่อว่าคริปโทฯ จะไม่ล่มสลายในระยะเวลาอันใกล้นี้                

โนโวแกรทซ์ แนะนำให้นักลงทุนยังคงเข้าซื้อคริปโทฯ ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยง โดยอาจจัดสรรการลงทุนในคริปโทฯ ประมาณ 1% - 5% ของสินทรัพย์ที่ถือครองอยู่

“ผมและบริษัทกาแล็กซี ยังคงสนับสนุนระบบนิเวศคริปโทฯ ผมมีความเชื่อมั่นมากกว่าแต่ก่อนว่า คริปโทฯ จะยังคงมีการวิวัฒนาการต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง และจนถึงขณะนี้ ผมไม่รู้สึกเสียใจกับรอยสักคำว่า Luna เพราะรอยสักนี้จะเป็นสิ่งเตือนใจตลอดไปว่า การลงทุนต้องใช้ความระมัดระวัง” โนโวแกรทซ์ กล่าว
 

ขณะที่ผลวิจัยล่าสุดจาก Cambridge Centre for Alternative Finance (ซีซีเอเอฟ)บ่งชี้ว่า การขุดบิตคอยน์ในประเทศจีนดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่ารัฐบาลจีนพยายามกวาดล้างเหมืองขุดคริปโทเคอร์เรนซีในประเทศมาโดยตลอดก็ตาม

ข้อมูลของซีซีเอเอฟ ระบุว่า ก่อนหน้านี้จีนซึ่งเคยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการขุดบิตคอยน์รายใหญ่ที่สุดของโลกด้วยอัตราส่วนการขุดราว 65% - 75% ของอัตรารวมทั่วโลกนั้น ได้เผชิญกับมาตรการกวาดล้างของรัฐบาลจีน จนทำให้อัตราส่วนการขุดบิตคอยน์ลดลงเหลือศูนย์ในเดือนก.ค.-ส.ค. 2564

จากนั้นไม่นาน กิจกรรมการขุดบิตคอยน์ในจีนดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในเดือนก.ย. ปี2564 อัตราส่วนการขุดบิตคอยน์ของจีนพุ่งขึ้นเหนือระดับ 22% ของตลาดเหมืองขุดบิตคอยน์ทั่วโลก

ซีเอ็นบีซี รายงานเมื่อไม่นานมานี้ว่า มีการขุดบิตคอยน์แบบใต้ดินจำนวนมากเกิดขึ้นในจีน บ่งชี้ว่า จีนกำลังผงาดขึ้นมาเป็นผู้เล่นรายใหญ่สุดของโลกในอุตสาหกรรมเหมืองขุดบิตคอยน์ ซึ่งเป็นรองแค่เพียงสหรัฐที่แซงหน้าจีนเมื่อปีที่แล้วเท่านั้น

เมื่อปี 2564 รัฐบาลจีนสั่งห้ามไม่ให้สถาบันการเงินให้บริการเกี่ยวกับการทำธุรกรรมด้วยคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งรวมถึงการซื้อขาย, การชำระบัญชี และการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับคริปโทฯ เนื่องจากรัฐบาลจีนกังวลว่า ความผันผวนของสกุลเงินคริปโทฯ จะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของทรัพย์สินประชาชน รวมทั้งจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินของจีนด้วย

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังสั่งขยายการกวาดล้างเหมืองขุดคริปโทฯ ในมณฑลเสฉวน ซึ่งเป็นแหล่งขุดบิตคอยน์ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของจีน โดยเจ้าหน้าที่สั่งปิดโครงการเหมืองขุดบิตคอยน์ที่ผิดกฎหมายจำนวน 26 โครงการในเดือนมิ.ย. 2564