วท.กห.สวมบท PMU ใหม่ ตั้งเป้าพลิกบทบาทไทยจาก ผู้ซื้อ เป็น "ผู้ผลิต" ยุทโธปกรณ์

วท.กห.สวมบท PMU ใหม่ ตั้งเป้าพลิกบทบาทไทยจาก ผู้ซื้อ เป็น "ผู้ผลิต" ยุทโธปกรณ์

หน่วยบริหารและจัดการทุน หรือ “PMU ด้านความมั่นคง” โดยกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม (วท.กห.) เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจล่าสุดที่จะเปลี่ยนประเทศไทยจาก “ผู้ซื้อ” ยุทโธปกรณ์ เป็น “ผู้ผลิต” ใช้เองในประเทศ จากปัจจุบันนำเข้าสูงถึง 98%

KEY

POINTS

  • สภานโยบายการอุดมศึกษาฯ อนุมัติจัดตั้ง วท.กห.เป็นหน่วยบริหารและจัดการทุน (PMU) ด้านความมั่นคง 
  • แผนการให้ทุนวิจัยจะเริ่มในปี 2570 โดยมุ่งเน้นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ภัยคุกคามสมัยใหม่และเทคโนโลยีที่ใช้ได้สองทาง (Dual Use) เช่น อากาศยานไร้คนขับ
  • การเป็น PMU จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (S-Curve 11) และสร้างความมั่นคงแบบพึ่งพาตนเอง (Self-Reliance) ให้กับประเทศ

หน่วยบริหารและจัดการทุน หรือ “PMU ด้านความมั่นคง” โดยกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม (วท.กห.) เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจล่าสุดที่จะเปลี่ยนประเทศไทยจาก “ผู้ซื้อ” ยุทโธปกรณ์ เป็น “ผู้ผลิต” ใช้เองในประเทศ  จากปัจจุบันนำเข้าสูงถึง 98%

เมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา ในการประชุมสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สภานโยบายฯ) โดยมีศาสตราจารย์กิตติคุณบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน

ได้อนุมัติการจัดตั้ง วท.กห. สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็น PMU (Program Management Unit) น้องใหม่ลำดับที่ 10 จะนำไปสู่การปฏิรูปอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้เข้มแข็งขึ้น

ปี 2570 คิกออฟทุนวิจัยเฟสแรก

พล.ท.คม วิริยเวชกุล เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม เปิดเผยว่า การยกระดับ วท.กห.หน่วยงานด้านการให้ทุน (PMU) มีเป้าหมายสำคัญเพื่อให้โจทย์วิจัยด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศตรงกับความต้องการของกองทัพในฐานะผู้ใช้งานจริง  

วท.กห.สวมบท PMU ใหม่ ตั้งเป้าพลิกบทบาทไทยจาก ผู้ซื้อ เป็น "ผู้ผลิต" ยุทโธปกรณ์

โดยมุ่งเน้นการบูรณาการงานวิจัยด้านความมั่นคงให้มีทิศทางและเป็นเอกภาพ ลดความซ้ำซ้อน และมีการบริหารจัดการแบบครบวงจร รวมถึงวางเป้าหมายลดการพึ่งพาเทคโนโลยีและยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศ

เบื้องต้นในปี 2569 จะดำเนินการขอความร่วมมือและข้อเสนอแนะจากทุกหน่วยในกระทรวงกลาโหมให้ปรับโครงสร้าง กฎระเบียบและระบบต่าง ๆ เพื่อให้การบริหารและจัดการทุนสอดคล้องกับแผนการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนแผนการให้ทุนวิจัยจะเริ่มตั้งแต่ปี 2570 ในเฟสแรกจะจำกัดผู้รับทุนเป็นหน่วยงานราชการในสังกัดกระทรวงกลาโหม จากนั้นจึงจะขยายไปยังหน่วยงานภายนอกทั้งหน่วยงานวิจัย สถาบันการศึกษาและภาคเอกชน

โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ภัยคุกคามสมัยใหม่และภัยพิบัติทางธรรมชาติ ภายใต้การบริหารจัดการข้อมูลที่แบ่งระดับความลับอย่างเหมาะสมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด 

วท.กห.สวมบท PMU ใหม่ ตั้งเป้าพลิกบทบาทไทยจาก ผู้ซื้อ เป็น "ผู้ผลิต" ยุทโธปกรณ์

นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการรักษา บุคลากรวิจัย ที่มีความเชี่ยวชาญผ่านการสนับสนุนงบประมาณและเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพที่ชัดเจน

เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน ขณะที่กระทรวงกลาโหมมีความพร้อมครบทุกด้านทั้งด้านบุคลากร สถานที่ทดสอบและหน่วยงานวิจัย

กรอบภารกิจของ PMU ด้านความมั่นคง จะครอบคลุมการดำเนินงานตั้งแต่ต้นน้ำ (การวิจัยพื้นฐาน) ไปจนถึงปลายน้ำ (การนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์และสังคม)

โดยรับผิดชอบโครงการวิจัยระดับชั้นที่ไม่มีความลับ ตัวอย่างเช่น ปืนเล็กยาว หรือลูกกระสุนที่ใช้กันทั่วไป และงานวิจัยที่เป็น Dual Use เช่น อากาศยานไร้คนขับ หรือระบบตรวจการณ์ ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ทั้งในภารกิจทางทหารและภารกิจทางพลเรือน โดยกลุ่มนี้จะนำเข้าสู่ระบบ PMU เพื่อให้เกิดการวิจัยและพัฒนาที่กว้างขวางขึ้น

ส่วนงานวิจัยที่เป็นข้อมูลความลับสุดยอดก็จะใช้งบประมาณกระทรวงกลาโหมโดยตรง และไม่นำเข้าสู่ระบบ PMU เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล

วท.กห.สวมบท PMU ใหม่ ตั้งเป้าพลิกบทบาทไทยจาก ผู้ซื้อ เป็น "ผู้ผลิต" ยุทโธปกรณ์

ทั้งนี้ การจำแนกประเภทงบประมาณวิจัยและข้อมูลตามระดับชั้นความลับเช่นนี้ ช่วยให้ วท.กห. สามารถบริหารจัดการทุนวิจัยผ่านระบบ PMU ได้อย่างเหมาะสม โดยยังคงรักษาความลับในส่วนของอาวุธร้ายแรงหรือข้อมูลยุทธวิธีที่สำคัญไว้ได้

ผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจ

พล.ท.คม กล่าวอีกว่า การที่ วท.กห. ก้าวเข้ามามีบทบาทเป็น PMU จะส่งผลกระทบเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยในหลายมิติ ดังนี้  

1.การเพิ่มขีดความสามารถทางการเงินและการกำหนดทิศทางที่ชัดเจน ในอดีตแม้ไทยจะมีนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญสูง แต่การสนับสนุนหรือทิศทางนโยบายอาจยังไม่ชัดเจนนัก

การเป็น PMU จะทำให้ วท.กห. สามารถบริหารจัดการงบประมาณสำหรับการวิจัยได้เพิ่มมากขึ้น และให้ทุนวิจัยได้อย่างเหมาะสมและตรงจุด ซึ่งจะนำไปสู่กระบวนการรับรองมาตรฐานและการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมในระดับที่กว้างขึ้น

วท.กห.สวมบท PMU ใหม่ ตั้งเป้าพลิกบทบาทไทยจาก ผู้ซื้อ เป็น "ผู้ผลิต" ยุทโธปกรณ์

2.การขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามนโยบาย S-Curve 11 (อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ) ให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ไม่ว่าจะเป็น การจ้างงานและการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง

3.การสร้างความมั่นคงแบบพึ่งพาตนเอง (Self-Reliance) เมื่อเราสามารถผลิตยุทโธปกรณ์ได้เอง จะช่วย ลดการพึ่งพาต่างชาติ โดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤติที่อาจเกิดการขาดแคลนอาวุธหรือประเทศผู้ขายหยุดการส่งมอบ

ตัวอย่างความสำเร็จที่ผ่านมา เช่น การพัฒนาจรวดหลายลำกล้องระยะยิง 150 กม. กระสุนปืนใหญ่และอากาศยานไร้คนขับ ซึ่งได้นำไปทดลองใช้จริงในสถานการณ์ชายแดนเพื่อต่อยอดสู่การผลิตจริง

“ความมั่นคงของประเทศเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญ หากประเทศขาดความมั่นคง การขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจ สาธารณสุข หรือการศึกษาก็จะทำได้ยากลำบาก

ดังนั้น การลงทุนในเทคโนโลยีป้องกันประเทศจึงเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว” เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม กล่าว