กลุ่มดาวเทียมสำรวจโลก 2 หมื่นล้าน สร้างจุดเปลี่ยนประเทศไทย

ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีดาวเทียมสำรวจโลกความละเอียดสูงอยู่ 2 ดวง ได้แก่ ดาวเทียมไทยโชต หรือ THEOS-1 และดาวเทียม THEOS-2 ประจำการอยู่ในวงโคจรเป็นเวลานานกว่า 17 ปี
KEY
POINTS
- GISTDA ผลักดันเพิ่มกลุ่มดาวเทียมสำรวจโลก 12 ดวง แก้ปัญหาดาวเทียมที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ
- โครงการนี้จะสร้างจุดเปลี่ยนให้ประเทศผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยี พัฒนาบุคลากรกว่า 3,000 คน และส่งเสริมอุตสาหกรรมอวกาศในประเทศกว่า 100 บริษัท
- การมีกลุ่มดาวเทียมเป็นของตนเองจะ ทำให้ไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงพื้นที่ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที
“แผนการพัฒนากลุ่มดาวเทียมสำรวจโลกของประเทศไทย (Thailand's Earth Observation Satellite Constellation)” เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญและเร่งด่วนที่ GISTDA ต้องการขับเคลื่อนให้ประสบความสำเร็จภายในรัฐบาลชุดใหม่นี้
แม้จะผ่านที่ประชุม ครม.มาแล้วแต่ด้วยกรอบวงเงิน 2 หมื่นล้านบาทและ “ความใหม่” ทั้งเทคโนโลยีและกรอบคิด ทำให้ต้องนำเสนอต่อสภาพัฒน์และรอเข้า ครม.รอบ2
แผนการพัฒนากลุ่มดาวเทียมสำรวจนี้ริเริ่มและขับเคลื่อนโดย ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA
ที่ตั้งใจมอบเป็นของขวัญให้กับคนไทยเนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปี GISTDA ในปี 2568 หากแผนดำเนินการนี้ประสบความสำเร็จจะสามารถนำส่งดาวเทียมเพิ่มขึ้นอีก 12 ดวงขึ้นสู่วงโคจรได้ภายในระยะเวลา 6 ปีนับจากวันได้รับอนุมัติงบโครงการ
ที่มา THEOS Constellation
ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีดาวเทียมสำรวจโลกความละเอียดสูงอยู่ 2 ดวง ได้แก่ ดาวเทียมไทยโชต หรือ THEOS-1 และดาวเทียม THEOS-2 ประจำการอยู่ในวงโคจรเป็นเวลานานกว่า 17 ปี
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา มีบทบาทสำคัญในการวางแผนตอบสนองต่อภัยพิบัติ ความมั่นคง และใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากร สิ่งแวดล้อม เกษตรกรรม และการตัดสินใจเชิงนโยบายของทั้งภาครัฐและเอกชน
แต่ด้วยความต้องการในการนำข้อมูลจากดาวเทียมไปใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งภาครัฐและเอกชน ดาวเทียมที่มีอยู่ในปัจจุบัน ถือว่ายัง “ไม่เพียงพอ” ที่จะตอบสนองต่อความจำเป็นในการใช้ประโยชน์ของประเทศทั้งในเชิงพื้นที่และเชิงเวลา
นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดด้านการถ่ายภาพ เช่น ถ่ายภาพได้เฉพาะเวลากลางวัน และไม่สามารถถ่ายทะลุเมฆได้ ทำให้ประเทศไทยยังต้องพึ่งพาข้อมูลจากดาวเทียมต่างประเทศ ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์ด้านความต่อเนื่องและทันท่วงที
เพื่อตอบโจทย์ปัญหาเหล่านี้ GISTDA จึงขับเคลื่อน “โครงการพัฒนากลุ่มดาวเทียมสำรวจโลกของประเทศไทย” เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีความละเอียดสูง เพิ่มประสิทธิภาพ ครอบคลุม ภารกิจ และเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม
ดร.พรเทพ นวกิจกนก ผู้อำนวยการศูนย์ผลิตดาวเทียมแห่งชาติ GISTDA กล่าวว่า การพัฒนา “ดาวเทียม 12 ดวงใน 6 ปีนับจากวันอนุมัติโครงการ” ได้ผ่านการวางแผนที่พิจารณาภาพรวมการทำงานเป็นกลุ่มร่วมกับดาวเทียมที่มีอยู่ ณ เวลานั้น ๆ ทั้งดาวเทียมของไทยและต่างประเทศ
อย่างเช่น กลุ่มดาวเทียม THOES- 3 ซึ่งมีประมาณ 5 ดวง ถูกออกแบบให้ทำงานร่วมกับดาวเทียมกลุ่มอื่น ๆ เช่น ดาวเทียม Sentinel เพื่อให้ทำงานเสริมกัน ทำให้สามารถถ่ายภาพได้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น
“ด้วยข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ การออกแบบกลุ่มดาวเทียมดังกล่าวจึงเน้นที่ภารกิจเป้าหมายในแต่ละกลุ่มที่ชัดเจน โดยมีทั้งกลุ่มดาวเทียมแบบออปติคัล แบบเรดาร์และแบบตรวจจับความร้อน
ขณะเดียวกันที่มาของดาวเทียมก็มีทั้งแบบทีมวิศวกรไทยเข้าร่วมพัฒนา เช่นเดียวกับดาวเทียม THOES- 2 การออกแบบเองแล้วจ้างผลิต และแบบจัดซื้อดาวเทียมจากต่างประเทศ ซึ่งจะมีเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาบุคลากรและอุตสาหกรรมอวกาศของประเทศไทย”
สำหรับดาวเทียมทั้ง 12 ดวง ถูกออกแบบเพื่อตอบโจทย์ 3 เรื่องหลักของประเทศ โดยกลุ่มดาวเทียม THOES-3 จำนวน 5 ดวงตอบโจทย์ภารกิจด้านการเกษตร
กลุ่มดาวเทียม THOES-4 จำนวน 2 ดวง และ THOES-5 จำนวน 4 ดวงตอบโจทย์ภารกิจด้านภัยพิบัติและความมั่นคง ส่วนดาวเทียม THOES- 6 จำนวน 1 ดวง ตอบโจทย์ภารกิจด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม ภายใต้โครงการนี้วงเงินงบประมาณ อาจจะดูเหมือนสูงมาก เนื่องจากเป็นการพัฒนาพร้อมๆ กันทั้งระบบ ซึ่งในโครงการจะมีทั้งการจัดหากลุ่มดาวเทียมและปรับปรุงระบบสถานีรับสัญญาณ
การเพิ่มศักยภาพของบุคลากรไทยผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาและส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมของประเทศในด้านดาวเทียม และเทคโนโลยีอวกาศ และการพัฒนาระบบประยุกต์ใช้ประโยชน์ภูมิสารสนเทศจากภาพถ่ายดาวเทียม
พัฒนาศักยภาพบุคลากรไทย
หากแผนการพัฒนาโครงการเป็นไปตามเป้าหมาย ประเทศไทยนอกจากจะได้กลุ่มดาวเทียมสำรวจโลกและโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีอวกาศแล้ว
บุคลากรไทยจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการร่วมสร้างดาวเทียมสมัยใหม่ สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ต่ำกว่า 3,000 คน
ผู้ประกอบการในประเทศสามารถผลิตชิ้นส่วนหรือพัฒนาระบบย่อยเพื่อใช้งานในระบบดาวเทียมตาม มาตรฐานสากล ไม่น้อยกว่า 100 บริษัท ทำให้เกิดระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และประยุกต์ใช้ประโยชน์ภูมิสารสนเทศจากภาพถ่ายดาวเทียมของหน่วยปฏิบัติตามภารกิจต่างๆ ได้อย่างประสิทธิภาพ
และที่สำคัญ คือ การเป็นเจ้าของข้อมูลจากดาวเทียม ซึ่งเป็นหลักประกันได้ว่าประเทศไทย จะสามารถเข้าถึงข้อมูลในพื้นที่ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที
เพิ่มขีดความสามารถด้านอุตสาหกรรมอวกาศด้วยการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน ซึ่งจะสร้างโอกาสให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นําด้านการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.







