ดร.สุรชัย ชี้ อย่ามอง Climate Change เป็นแค่ปัญหา แต่มองเป็นโอกาสของประเทศ

ดร.สุรชัย ชี้ อย่ามอง Climate Change เป็นแค่ปัญหา แต่มองเป็นโอกาสของประเทศ

ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ชี้ อย่ามอง Climate Change เป็นแค่ปัญหา แต่มองเป็นโอกาสของประเทศ ไทยสามารถใช้กระแสคาร์บอนต่ำสร้างอุตสาหกรรมใหม่ได้ ต้องเร่งพัฒนามาตรฐาน เทคโนโลยี ทักษะมนุษย์ หากช้าอาจถูกคู่แข่งภูมิภาคแซงหน้า

ในเวที “กรุงเทพธุรกิจ” Sustainability Forum 2026: Shift Forward: Overcoming Challenges ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ได้บรรยายหัวข้อ “Scale up the Sustainable Innovation” ว่า หากประเทศไทยต้องการยกระดับความยั่งยืนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจนวัตกรรมจริงจัง จะต้องเผชิญและจัดการกับ 3 โจทย์ใหญ่พร้อมกัน ได้แก่ เทคโนโลยี กำลังคน และมาตรฐานระดับนานาชาติ

เขาย้ำว่า นวัตกรรมไม่จำเป็นต้องใหม่ที่สุดเสมอไป แต่ต้อง มีประโยชน์และนำไปใช้ได้จริง โดยเฉพาะในยุคที่ประเทศไม่สามารถพึ่งพาแรงงานราคาถูกหรือการท่องเที่ยวเหมือนเดิมอีกต่อไป เศรษฐกิจในอนาคตจะถูกขับเคลื่อนด้วยความสามารถด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และงานวิจัย

“ไม่ว่าจะเป็นการลดก๊าซเรือนกระจก หรือการปรับตัวต่อภาวะอากาศ ทั้งหมดต้องใช้เทคโนโลยี ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่งานวิจัย มหาวิทยาลัย นักวิทยาศาสตร์ ไปจนถึงระบบนวัตกรรมทั้งห่วงโซ่” ดร.สุรชัย อธิบาย

เขาให้ภาพรวมว่า ตอนนี้ประเทศไทยมีองค์ความรู้และงานวิจัยจำนวนมาก ทั้งด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน พลังงานสะอาด การกำจัดของเสีย วัสดุชีวภาพ CCUS พลังงานชีวภาพ และเทคโนโลยีการเกษตรยั่งยืน ซึ่งล้วนพร้อมต่อยอดเชิงพาณิชย์ หากมีการนำไปใช้จริงในระบบเศรษฐกิจ

เมื่อพูดถึงเรื่อง “กำลังคน” ดร.สุรชัยชี้ว่า ไม่ว่าพูดถึงปัญหาไทยเรื่องใด สุดท้ายจะย้อนกลับมาที่ “คนไม่พอ และไม่ตรงกับความต้องการ” โดยเฉพาะในยุคที่ความต้องการทักษะเขียว (Green Skills) สูงขึ้นเรื่อยๆ สวอช.จึงกำลังทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย เอกชน และอุตสาหกรรม เพื่อเร่งปรับหลักสูตร ฝึกทักษะใหม่ ยกระดับทักษะแรงงาน รวมถึงใช้มาตรการสนับสนุน เช่น การลดหย่อนภาษีสำหรับองค์กรที่เทรนบุคลากรด้วยตนเอง

“การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศจะอยู่กับเราไปอีกหลายร้อยปี” ดร.สุรชัยเน้นว่า ต้องมองปัญหาเป็น โอกาส ไม่ใช่อุปสรรค โดยเฉพาะในสาขาที่ไทยได้เปรียบอย่างเกษตรและไบโอเทคโนโลยี

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่มักมองข้ามคือ ไทยต้องทำตามมาตรฐานนานาชาติในการวัดการปล่อยคาร์บอนและผลลัพธ์สภาพภูมิอากาศ ไม่เช่นนั้นประเทศคู่ค้าจะไม่ยอมรับ โดยต้องมีข้อมูล วิธีคำนวณ และห้องปฏิบัติการที่เป็นสากล เช่น ค่า emission factor ของวัสดุในไทยเอง ซึ่งล้วนต้องพึ่งงานวิจัยและระบบวิทยาศาสตร์ที่แข็งแรง

เขาบอกว่า ประเทศพัฒนาแล้วมีพันธกรณีต้องช่วยถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ประเทศกำลังพัฒนา ไทยจึงต้องรู้ว่า “เราต้องการเทคโนโลยีอะไร” และสามารถเข้าถึงกองทุนระหว่างประเทศ เช่น Green Climate Fund ซึ่งมีเงินระดับแสนล้านดอลลาร์ หากไทย “เก่งพอที่จะไปขอ”

ดร.สุรชัยอธิบายถึงบทบาทของ สวอช. ว่า สวอช.ทำงานครอบคลุมทั้งกำหนดนโยบายระดับชาติและสนับสนุนการนำเทคโนโลยีไปใช้จริง เช่น

  • เป็นหน่วยประสานกลางขอถ่ายทอดเทคโนโลยีภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติด้าน climate change
  • เป็นส่วนหนึ่งของคณะเจรจาไทยในเวที COP
  • สนับสนุน Sandbox เช่น สระบุรี Sandbox เพื่อนำเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาใช้แก้ปัญหาในพื้นที่จริง
  • ดูแลระบบกองทุนวิจัยปีละกว่า 20,000 ล้านบาท
  • ขับเคลื่อนปฏิรูประบบอุดมศึกษาและหลักสูตรเพื่อรองรับทักษะสีเขียว

โดยแผนปัจจุบัน (จะสิ้นสุดปี 2570) จะถูกปรับใหม่ให้สอดคล้องกับแผนชาติฉบับที่ 14 โดยเลิกคิดแบบแยกตามสาขา แล้วหันมาใช้แนวคิด MOIP ซึ่งเริ่มจากโจทย์ระดับประเทศก่อน เช่น เป้าหมายเน็ตซีโร่ ความมั่นคงด้านพลังงาน หรือเศรษฐกิจชีวภาพ แล้วจึงจัดทิศทางงานวิจัย นวัตกรรม และการผลิตกำลังคนให้รองรับโจทย์เหล่านั้นโดยตรง

“อย่ามอง climate change เป็นแค่ปัญหา แต่มองเป็นโอกาสของประเทศ” นี่คือคำฝากท้ายของ ดร.สุรชัย เขาเน้นว่าไทยมีจุดแข็งด้านเกษตร วัตถุดิบชีวภาพ และเทคโนโลยีที่สามารถต่อยอดได้จริง หากมีนโยบายและระบบสนับสนุนที่ถูกทิศทาง

เขาทิ้งท้ายว่า การขับเคลื่อนนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุดมศึกษา และนวัตกรรม ต้องพิจารณาทั้งมิติการเมือง สังคม เศรษฐกิจ และการยอมรับของชุมชน เพื่อไม่ให้เทคโนโลยีดีๆ ติดกับดักความขัดแย้งเหมือนในอดีต