ปัญญาประดิษฐ์กับอนาคตประเทศไทย

ปัญญาประดิษฐ์กับอนาคตประเทศไทย

เวลาเราพูดถึงเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก เราจะหมายถึงเทคโนโลยีอเนกประสงค์ (General-Purpose Technology) ตัวอย่างเช่น เครื่องจักรไอน้ำทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดโรงงานและระบบการผลิตแบบขนานใหญ่

การค้นพบไฟฟ้าซึ่งเป็นพื้นฐานการส่งผ่านพลังงาน ทำให้พัฒนาต่อยอดเกิดสิ่งประดิษฐ์อย่างมอเตอร์และพัฒนาต่อไปอยู่ในตู้เย็น พัดลม เพิ่มเติมด้วยความก้าวหน้าของอิเล็กทรอนิกส์ทำให้เกิดวิทยุ ทีวี และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย

จากการมีไฟฟ้าใช้ ความเจริญแผ่ไปทั่วโดยมีถนนนำตามมาด้วยมีไฟฟ้าเข้าถึง พอมาถึงยุคดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตที่โทรศัพท์มือถือกลายเป็นปัจจัยที่ 6 ที่เราขาดไม่ได้อีกแล้ว สรรพสิ่งต่าง ๆ จะมีหน่วยประมวลผลอยู่ข้างในกลายมาเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะอย่างหุ่นยนต์ดูดฝุ่น เป็นต้น

จึงเห็นได้ว่าทุกเทคโนโลยีอเนกประสงค์ที่เปลี่ยนโลกนั้น จะเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตรวมถึงสาขาอาชีพและส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจสังคมแบบย้อนกลับไปไม่ได้อีกต่อไป 

โดยส่วนใหญ่ของเทคโนโลยีอเนกประสงค์ที่ผ่านมาจะช่วยขยายพลังความสามารถทางกายภาพของมนุษย์ แต่การมาถึงของปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Generative AI ซึ่งต่อไปขอย่อว่า AI) จะเป็นการขยายพลังสมองของเราโดยจะส่งผลกระทบต่อไปแบบเหนือจินตนาการ

บทความนี้จะขอนำประเด็นบางส่วนจากหนังสือ “Artificial Intelligence and the Future of Work (2025)” ของ National Academies Press ประเทศสหรัฐอเมริกา มานำเสนอในฐานะที่ USA คือ ต้นกำเนิดของ AI และลองปรับแนวคิดให้เข้ากับบริบทของประเทศไทยกัน

หนังสือดังกล่าวเป็นรายงานสรุปผลจากการระดมสมองของนักคิดและผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ “เพื่อประเมินผลกระทบในปัจจุบันและอนาคตของปัญญาประดิษฐ์ต่อแรงงานของสหรัฐอเมริกาในทุกภาคส่วน โดยคำนึงถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและผลกระทบที่ตามมาต่อตลาดแรงงานและเศรษฐกิจโดยรวม”

เริ่มที่การประเมินความสามารถของ AI ที่แตกต่างจากคอมพิวเตอร์แบบเดิมที่ช่วยมนุษย์จัดการกับการทำงานทั้งแบบทางกายภาพและทางปัญญาที่ซ้ำ ๆ มีกฎเกณฑ์ให้กลายเป็นแบบอัตโนมัติ 

ในขณะที่ AI กลับสามารถช่วยงานทางปัญญาที่ไม่เป็นกิจวัตรได้ (Non-Routine Cognitive Tasks) โดยตัวอย่างเชิงประจักษ์ในความฉลาดของ AI คือ GPT-4 สามารถทำข้อสอบ Advanced Placement exams (สอบเตรียมความพร้อมก่อนเข้ามหาวิทยาลัย) สูงกว่า 80th Percentile ในหลากหลายสาขาวิชา เป็นต้น

นอกจากการที่เราสามารถประยุกต์ใช้ AI ได้กว้างขวางหลากหลายแนวแล้ว ผู้พัฒนา AI เองยังสร้างให้ AI มีระบบการเรียนรู้และปรับปรุงตนเองอย่างต่อเนื่อง (รวมถึงการที่เราให้ feedback กับคำตอบของ AI ด้วย)

อีกทั้งการแพร่กระจายนวัตกรรมของ AI เป็นไปอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับเทคโนโลยีอเนกประสงค์อื่น ๆ เพราะ AI สามารถส่งผ่านเทคโนโลยีที่แพร่กระจายอยู่แล้วอย่างอินเทอร์เน็ต

อย่างไรก็ดี ข้อพึงระวังของ AI ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาสำหรับความน่าเชื่อถือคือ อาการหลอน และความลำเอียง (Hallucination & Bias) ตลอดจนการใช้เหตุผลเชิงตรรกะได้อย่างถูกต้อง

คำถามชวนคิดคือ AI ทำให้เรารู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน (I know what I don’t know) แล้วเราเองจะสามารถพิจารณาและเชื่อหรือไม่เชื่อในคำตอบของ AI ได้แค่ไหน โดยเฉพาะการนำไปประยุกต์ใช้กับสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูง หรือวิเคราะห์ปัญหาที่มีความซับซ้อนมาก ๆ นอกจากนี้ยังมีประเด็นในแง่ของความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยเฉพาะการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญเพิ่มอีกประการหนึ่ง

สำหรับประเด็นผลกระทบนั้น โดยส่วนใหญ่ที่เราเห็นการใช้งาน AI จะเป็นในแนวการแทนที่ความชำนาญแบบดั้งเดิม เช่น ให้ AI เขียน code ช่วยร่างเอกสารทางกฎหมาย วิเคราะห์สรุปเอกสารจำนวนมาก ๆ วางแผนทางการตลาด ตอบปัญหาลูกค้า แม้กระทั่งช่วยวินิจฉัยทางการแพทย์เบื้องต้น ฯลฯ

ซึ่ง AI สามารถทำงานดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วมาก ทำให้การใช้ AI ทดแทนตำแหน่งงานในระดับกลางมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งน่าจะยังเป็นคำถามสำหรับประเทศไทยที่อยากจะใช้ AI แทนบางตำแหน่ง ด้วยค่าจ้างเราถูกกว่าอเมริกามากจะคุ้มหรือไม่

ส่วนมุมการวิเคราะห์ด้านการเติบโตของผลิตภาพนั้น (Productivity Growth) จะเกิดปรากฏการณ์ที่ผลิตภาพลดลงชั่วคราว (Productivity J-Curve) ก่อนที่จะพุ่งสูงขึ้นอย่างยั่งยืนคล้ายรูปตัว J เพราะการจะนำ AI มาใช้ให้ได้ผลอย่างแท้จริง จะต้องมีการลงทุนเสริมกับสิ่งที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Complementary Investments) อีกหลายส่วน

ไม่ใช่แค่การซื้อซอฟต์แวร์มาใช้เท่านั้น แต่ยังต้องลงทุนเสริมตั้งแต่การปรับโครงสร้างองค์กร การยกเครื่องกระบวนการทำงาน การพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูล การฝึกอบรมพนักงานขนานใหญ่ เพื่อรองรับ AI (AI Transformation) 

อย่างไรก็ดีในรายงานกล่าวว่า “AI มีศักยภาพที่จะเพิ่มการเติบโตของผลิตภาพโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจภายในทศวรรษหน้า แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์รายละเอียดของผลกระทบในอนาคต แต่การประมาณการบางส่วนชี้ให้เห็นว่าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐอเมริกาอาจเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า”

นอกจากนี้ยังมีผลพลอยได้จาก AI ที่มีต่อความเร็วในการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ อีกด้วย 

คำถามชวนคิดในประเด็นนี้คือ ประเทศไทยเราจะได้ประโยชน์จาก AI ด้านผลิตภาพและนวัตกรรมได้อย่างไรในขณะที่การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาของเรายังต่ำมาก

สำหรับผลกระทบอื่น ๆ ในบริบทของประเทศไทยนั้น หากจะเชื่อมโยงจากประเด็นในบริบทของอเมริกาคงเป็นการยากไม่ใช่น้อย เพราะเรา(ยัง)ไม่ได้มีการระดมสมองจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายแขนง และเราไม่ได้เป็นผู้สร้าง AI ทำให้การคาดคะเนวิวัฒนาการของ AI เป็นไปได้ยาก

แต่ถ้ามองยุทธศาสตร์แบบพื้น ๆ ภายใต้ข้อจำกัดของไทยข้างต้น เสมือนมีทาง 2 แพร่งให้เลือกคือ 1) การใช้ AI ทดแทนตำแหน่งงานตามที่ได้ยินกันมาบ่อย ๆ ว่า เราอาจจะตกงานเพราะ AI ทั้ง ๆ ที่ค่าจ้างเราถูกกว่าอเมริกา ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งคือ 2) จะใช้ AI มาเสริมศักยภาพของพนักงานที่มีอยู่ (Reskills/Upskills) หรือแม้กระทั่งโอนย้ายไปสู่ตำแหน่งงานใหม่ ๆ ที่เกิดจาก AI ก็ยังได้

เสริมด้วยการมองในมุมที่ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงความเชี่ยวชาญของเราไปอย่างไร โดยยังไม่ลืมเรื่องการมีกรอบธรรมาภิบาลที่เข้มแข็ง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและความยุติธรรมไม่เกิดปัญหา AI Divide เหมือนที่เคยเกิด Digital Divide มาแล้ว

อ้างอิง National Academies of Sciences, Engineering, and Medicine. 2025. Artificial Intelligence and the Future of Work. Washington, DC: The National Academies Press. https://doi.org/10.17226/27644.