สัญญาอัจฉริยะ | กฎหมาย4.0

สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) เป็นนวัตกรรมทางกฎหมายและเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นจากการพัฒนา blockchain ซึ่งทำให้คู่สัญญาสามารถทำข้อตกลงและให้ระบบดำเนินการโดยอัตโนมัติเมื่อเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้าถูกตอบสนอง 

ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ซื้อชำระเงิน ระบบจะปล่อยสินค้าหรือโอนสิทธิ์โดยทันทีโดยไม่ต้องมีบุคคลกลาง การดำเนินการแบบนี้ช่วยลดต้นทุน เพิ่มความโปร่งใส และลดความเสี่ยงจากการผิดสัญญา แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างคำถามทางกฎหมายมากมายว่า รหัสคอมพิวเตอร์สามารถแทนที่เจตนาแห่งสัญญาได้หรือไม่ และระบบกฎหมายแบบดั้งเดิมจะสามารถรองรับรูปแบบสัญญาเช่นนี้ได้อย่างไร

สัญญาแบบดั้งเดิม (Conventional Contract) มีองค์ประกอบหลักคือ การเสนอ (offer) การยอมรับ (acceptance) เจตนา (intention to create legal relations) และสิ่งตอบแทน (consideration) ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจร่วมกันระหว่างคู่สัญญา

ในขณะที่สัญญาอัจฉริยะทำงานผ่านรหัสคำสั่งที่แทนข้อความทางกฎหมาย เงื่อนไขต่างๆ ถูกโปรแกรมให้ดำเนินการโดยอัตโนมัติ เช่น ถ้า X เกิดขึ้น ให้ทำ Y ซึ่งหมายความว่าเจตนาทางกฎหมายถูกแปลงเป็นตรรกะของโปรแกรม (code) ไม่ใช่ข้อความในเอกสาร 

ความแตกต่างนี้ทำให้การตีความสัญญาอัจฉริยะซับซ้อนกว่าสัญญาแบบเดิม เพราะภาษาคอมพิวเตอร์ไม่เปิดโอกาสให้ตีความตามเจตนา หากเขียนโค้ดผิดเพียงบรรทัดเดียว ผลลัพธ์ทางกฎหมายอาจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ประเด็นสำคัญที่สุดคือ คำถามว่าสัญญาอัจฉริยะถือเป็นสัญญาที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ 

ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทย การทำสัญญาต้องมีการแสดงเจตนาอย่างชัดแจ้ง การเสนอและการสนองต้องเข้าใจกันได้ในรูปแบบข้อความหรือการกระทำที่สื่อถึงความตั้งใจทางกฎหมาย

และพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มาตรา 13 ได้บัญญัติให้คำเสนอหรือคำสนองในการทำสัญญาอาจทำเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ และห้ามมิให้ปฏิเสธการมีผลทางกฎหมายของสัญญา เพียงเพราะเหตุที่สัญญานั้นได้ทำคำเสนอหรือคำสนองเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์

ซึ่งในสัญญาอัจฉริยะ การยอมรับเกิดขึ้นผ่านโค้ดที่ทำงานโดยอัตโนมัติ ไม่ได้มีการลงนามหรือตกลงด้วยวาจา การบังคับใช้จึงขึ้นอยู่กับการตีความว่าการเขียนโค้ดหรือการเริ่มต้นธุรกรรมบนบล็อกเชนถือเป็นการแสดงเจตนาตามกฎหมายหรือไม่

ในสัญญาแบบดั้งเดิม ศาลสามารถตีความข้อความโดยอ้างอิงเจตนาของคู่สัญญา ความสมัครใจ ความเข้าใจร่วมกัน หรือหลักความเป็นธรรม แต่ในสัญญาอัจฉริยะการตีความขึ้นอยู่กับโค้ดเท่านั้น หากโปรแกรมเขียนไว้ผิดพลาดหรือมีข้อบกพร่อง (bug) ระบบก็จะปฏิบัติตามโดยอัตโนมัติ แม้ผลลัพธ์นั้นจะไม่เป็นไปตามเจตนาของคู่สัญญา เช่น การจ่ายเงินซ้ำ การส่งมอบสินค้าผิด หรือการปิดธุรกรรมก่อนเวลาอันควร 

ปัญหานี้เกิดขึ้นจริงในคดี The DAO Hack (2016) ที่เครือข่าย Ethereum ถูกแฮ็กเพราะข้อบกพร่องในโค้ด ทำให้ทรัพย์สินของผู้ลงทุนสูญหายจำนวนมาก แต่ไม่สามารถเอาผิดทางกฎหมายได้ เพราะระบบได้ทำงานตามสัญญาที่ตั้งไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการพึ่งพาโค้ดเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีระบบกฎหมายรองรับ อาจสร้างความไม่เป็นธรรมอย่างรุนแรง

ปัญหาที่ซับซ้อนที่สุดคือ เขตอำนาจศาล (jurisdiction) ของสัญญาอัจฉริยะ เนื่องจากธุรกรรมบนบล็อกเชนเกิดขึ้นแบบไร้พรมแดน (borderless transaction) ไม่มีสถานที่ทำสัญญาหรือที่อยู่ของคู่สัญญาอย่างชัดเจน ทำให้ยากต่อการกำหนดว่าศาลของประเทศใดมีอำนาจพิจารณาข้อพิพาท

เช่น หากผู้ใช้ในประเทศไทยทำสัญญาอัจฉริยะกับบริษัทที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาผ่านแพลตฟอร์มบล็อกเชน ข้อพิพาทควร ขึ้นศาลใด นอกจากนี้ยังมีปัญหาความรับผิด (liability) เช่น หากโค้ดเกิดข้อผิดพลาด ใครเป็นผู้รับผิด ผู้พัฒนาโปรแกรม ผู้ใช้แพลตฟอร์ม หรือผู้เขียนสัญญาอัจฉริยะ

ปัจจุบันกฎหมายไทยยังไม่ตอบคำถามนี้ ยังจำกัดเฉพาะธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป ไม่ได้กล่าวถึงบล็อกเชนหรือระบบอัตโนมัติ ทำให้ขาดกรอบกฎหมายรองรับที่เพียงพอ ต่างกับประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศแรก ๆ ที่ให้การยอมรับทางกฎหมายต่อสัญญาอัจฉริยะ

โดยใช้ Uniform Electronic Transactions Act (UETA) และ E-SIGN Act 2000 ที่รับรองเอกสารและลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ว่า มีผลทางกฎหมายเทียบเท่ากับเอกสารจริง 

รัฐบางแห่ง เช่น แคลิฟอร์เนีย แอริโซนา และเทนเนสซี ยังได้ออกกฎหมายเฉพาะให้บล็อกเชนและสัญญาอัจฉริยะมีสถานะเป็นหลักฐานทางกฎหมายโดยตรง

สัญญาอัจฉริยะเป็นพัฒนาการสำคัญของระบบเศรษฐกิจดิจิทัล แต่กฎหมายของหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยยังไม่พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ การที่สัญญาอัจฉริยะดำเนินการโดยโค้ดไม่ได้หมายความว่ากฎหมายควรถอยหลังออกจากกระบวนการบังคับใช้ แต่กลับต้องเข้ามากำหนดขอบเขตและกลไกที่ชัดเจนเพื่อรักษาความยุติธรรมในโลกดิจิทัล 

หลักการพื้นฐานของสัญญา เช่น ความสมัครใจ ความเข้าใจร่วมกัน และความเป็นธรรม ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่ต้องปรับใช้ในบริบทของเทคโนโลยีใหม่ เมื่อกฎหมายสามารถปรับตัวให้เข้ากับนวัตกรรมได้อย่างยืดหยุ่น สัญญาอัจฉริยะจะไม่ใช่เพียงเครื่องมืออัตโนมัติทางเทคโนโลยี แต่จะกลายเป็นรากฐานใหม่ของนิติสัมพันธ์ที่ผสานระหว่างความถูกต้องของโค้ดกับความยุติธรรมของกฎหมายอย่างแท้จริง

ผู้เขียนเห็นว่าประเทศไทยสามารถรองรับสัญญาอัจฉริยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีการตรากฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับสัญญาอัจฉริยะเพื่อกำหนดสถานะทางกฎหมายของโค้ด กำหนดสิทธิหน้าที่ของผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม และวางกลไกการระงับข้อพิพาท และการพัฒนากรอบการกำกับดูแล (regulatory framework)

เช่น การออกใบอนุญาตให้แพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ การตรวจสอบตัวตน (KYC) และมาตรการป้องกันฟอกเงินเพื่อให้ระบบมีความน่าเชื่อถือและคุ้มครองผู้ใช้ในระดับเดียวกับธุรกรรมทางการเงินทั่วไป