ก้าวสู่ CE เต็มตัว ‘ไร้ท์ รีแอคติเวชั่น’ อัปไซเคิลผงถ่านกัมมันต์เป็นของใหม่

การอัปไซเคิลผงถ่านกัมมันต์ แสดงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการใช้วัตถุดิบใหม่ ลดของเสียและการฝังกลบรวมถึงเพิ่มวงจรชีวิตของถ่านกัมมันต์
KEY
POINTS
- ไร้ท์ รีแอคติเวชั่น อัปไซเคิลผงถ่านกัมมันต์จากกระบวนการฟื้นฟู ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์เม็ดถ่านกัมมันต์ใหม่
- โครงการนี้ช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมาย Zero Waste และก้าวสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ได้อย่างสมบูรณ์
- สามารถลดของเสียที่ต้องนำไปฝังกลบได้ถึง 150 ตันต่อปี ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า 600,000 บาทต่อปี และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 30%
อัปไซเคิลผงถ่านเหลือทิ้งสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่
“ที่ผ่านมาเราทำ CE แต่ยังไม่ 100% มีของเสียส่วนหนึ่งที่ต้องส่งกำจัด เพราะฉะนั้น โครงการฯ ช่วยให้เราสามารถทำ Zero Waste ได้ 100% ไม่มีของเสียที่จะส่งกำจัดออกจากโรงงาน ในทางกลับกัน เราสามารถนำของเสียกลับเข้ามาทำประโยชน์ได้ในรูปแบบสินค้า Up Cycle”
คำบอกเล่าจาก ดร.ธานี เจิมวงค์รัตนชัย กรรมการผู้จัดการบริษัท ไร้ท์ รีแอคติเวชั่น จำกัด (มหาชน) 1 ใน 6 ผู้ประกอบการต้นแบบที่ประสบความสำเร็จจากโครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy)
เพื่อการใช้ทรัพยากรแร่และโลหะอย่างยั่งยืน ที่มุ่งผลักดันอุตสาหกรรมไทยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน อันเป็นแนวทางการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
โจทย์หลักคืนชีพถ่านกัมมันต์ใช้แล้ว
บริษัท ไร้ท์ รีแอคติเวชั่น จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นในปี 2553 มีความเชี่ยวชาญในการฟื้นฟูถ่านกัมมันต์ วัสดุดูดซับและตัวเร่งปฏิกิริยาใช้แล้ว รวมถึงการผลิตถ่านกัมมันต์ใหม่จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
โดยมุ่งเน้นการนำถ่านกัมมันต์กลับมาใช้ใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปริมาณของเสียในอุตสาหกรรม และช่วยให้ผู้ประกอบการประหยัดต้นทุนในการจัดหาถ่านกัมมันต์ใหม่
ถ่านกัมมันต์เป็นวัสดุที่มีบทบาทสำคัญในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มไปจนถึงอุตสาหกรรม Non-Food
เช่น การบำบัดน้ำเสีย การดูดซับสารพิษและกลิ่นในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเลียม เคมี อาหาร ยานยนต์และอื่นๆ
หลังจากใช้งานจนประสิทธิภาพลดลง จะถูกส่งกลับเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู เพื่อคืนสมบัติการดูดซับและนำกลับมาใช้ใหม่
“ในกระบวนการฟื้นฟูนี้จะทำให้เกิดผงถ่านกัมมันต์เหลือทิ้ง ซึ่งมีขนาดไม่ได้มาตรฐานประมาณ 0.5 ตันต่อวัน ทางบริษัทจึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลผงถ่านเหลือทิ้งให้กลับมาใช้งานได้จริง
เพื่อลดการฝังกลบและยังเป็นการสร้างมูลค่า แล้วก็เพิ่มการไหลเวียนของทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจให้ได้นานที่สุด จึงนำโจทย์เข้าหารือทีมนักวิจัยเอ็มเทค” ดร.ธานี กล่าว
บริษัทและทีมวิจัยได้ร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูล และประเมินหาโซลูชันที่เหมาะสม เพื่อลดปริมาณผงถ่านกัมมันต์ที่ต้องส่งไปฝังกลบ
ด้วยแนวคิดในการพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลผงถ่านเหลือทิ้งให้กลับมาใช้งานอีกครั้งผ่านกระบวนการอัดเม็ด (Pelletizing)
ทีมวิจัยได้ศึกษาวิจัยและพัฒนาสูตรการผลิตเม็ดถ่านกัมมันต์โดยใช้ผงถ่านกัมมันต์ขนาดเล็กที่ไม่ได้มาตรฐานเป็นวัตถุดิบหลักร่วมกับสารยึดเกาะ โดยการคัดเลือกสูตรสารยึดเกาะที่เหมาะสม และใช้กระบวนการขึ้นรูปด้วยเครื่องอัดเม็ดแบบหัวอัดแนวราบ
พร้อมปรับกระบวนการให้ความร้อนให้ได้เม็ดถ่านกัมมันต์ที่มีสมบัติตรงตามข้อกำหนดของลูกค้า โดยเฉพาะค่าความพรุน
จากการออกแบบและกระบวนการพัฒนาต้นแบบอย่างเป็นระบบ ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้บริษัทสามารถรีไซเคิลผงถ่านกัมมันต์ที่ไม่ได้มาตรฐานเป็นเม็ดถ่านกัมมันต์ ช่วยลดปัญหาการฝังกลบได้ถึง 150 ตันต่อปี ลดค่าใช้จ่ายในการจัดการของเหลือทิ้งได้กว่า 600,000 บาทต่อปี
การปรับปรุงนี้ยังช่วยลดปริมาณของเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต และยังส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 30% ต่อปี
ข้อมูลจากเว็บไซต์ของบริษัทฯ ระบุว่า กระบวนการฟื้นฟูสภาพถ่านกัมมันต์ใช้แล้วมีหลายขั้นตอน แต่โดยทั่วไปจะประกอบด้วยขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
1. การคัดแยกถ่านกัมมันต์ใช้แล้ว เพื่อแยกถ่านกัมมันต์ที่หมดสภาพแล้วออกจากวัสดุอื่นๆ
2. การล้างถ่านกัมมันต์ เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกและสารเคมีที่ติดอยู่บนผิวถ่านกัมมันต์
3 .การอบแห้งถ่านกัมมันต์ เพื่อลดความชื้นในถ่านกัมมันต์
4. การกระตุ้นถ่านกัมมันต์ เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวของถ่านกัมมันต์ ทำให้สามารถดูดซับสารปนเปื้อนได้มากขึ้น
บริษัทฯ ได้ให้บริการฟื้นฟูสภาพถ่านกัมมันต์ใช้แล้วจากหลากหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมยานยนต์ และอื่นๆ ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา
บริษัทฯได้บำบัดถ่านกัมมันต์ใช้แล้วกว่าหมื่นตัน มีส่วนช่วยลดของเสียอุตสาหกรรมที่จะต้องฝังกลบหรือเผาทำลาย ทำให้เกิดการใช้ประโยชน์ซ้ำส่งเสริมเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน (Circular Economy) และมีส่วนช่วยลดต้นทุนภาคอุตสาหกรรม ลดการนำเข้าส่งผลดีต่อดุลการค้าของประเทศ
การรีไซเคิลถ่านกัมมันต์แสดงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการใช้วัตถุดิบใหม่ ลดของเสียและการฝังกลบรวมถึงเพิ่มวงจรชีวิตของถ่านกัมมันต์
นอกจากนี้อุตสาหกรรมที่ใช้ถ่านกัมมันต์ยังสามารถเป็น supplier ของผงถ่าน กลับไปสู่กระบวนการ Pelletizing ในโรงงานรีไซเคิล กระตุ้นให้เกิดเครือข่ายการใช้วัสดุหมุนเวียนระหว่างโรงงานหลายแห่ง
ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับนโยบายและทิศทางการพัฒนาประเทศ
กพร.ดันเศรษฐกิจหมุนเวียน
ดร.กิตติพันธุ์ บางยี่ขัน ผู้อำนวยการกองนวัตกรรมวัตถุดิบและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กล่าวว่า กพร. ให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบให้แก่ภาคอุตสาหกรรม
เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดมูลค่าเพิ่มสูงสุดตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถนำแนวทางนี้ไปประยุกต์ใช้
ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ กระบวนการผลิต การเลือกใช้วัตถุดิบ ไปจนถึงการจัดการเมื่อสิ้นอายุการใช้งาน โดยเน้นผลิตภัณฑ์ที่ง่ายต่อการซ่อมแซม ยืดอายุการใช้งาน และสามารถรีไซเคิลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม จึงร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดทำ “โครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy)” เพื่อการใช้ทรัพยากรแร่และโลหะอย่างยั่งยืน
โครงการนี้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 โดยในปี 2568 มีผลสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการและได้รับคำปรึกษาเชิงลึก 6 ราย ซึ่งรวมถึง บมจ.ไร้ท์ รีแอคติเวชั่น
หากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการนำต้นแบบที่ได้รับการพัฒนาไปประยุกต์ใช้อย่างต่อเนื่อง จะสามารถก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากต้นทุนที่ลดลงหรือรายได้ที่เพิ่มขึ้น รวมไม่ต่ำกว่า 145 ล้านบาทต่อปี
ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ไม่น้อยกว่า 5,815 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และยังเป็นการช่วยลดการใช้ทรัพยากรใหม่ ลดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
รศ. ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมไทยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน อันเป็นแนวทางการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
พร้อมทั้งขอบคุณ กพร. ที่ให้ความไว้วางใจ เอ็มเทค สวทช. เป็นที่ปรึกษาโครงการมาอย่างต่อเนื่อง และหวังว่าโครงการดังกล่าวจะได้รับการสานต่อเพื่อสร้างผลสำเร็จเชิงประจักษ์แก่ภาคอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว.







