LOCOL สูตรลับผสมโกโก้ สร้างผลลัพธ์ เนื้อวัว Low Carbon

LOCOL ฟู้ดเทคสตาร์ตอัปที่ค้นคว้าพัฒนานวัตกรรมอาหารเสริมสำหรับวัวจากผลโกโก้ตกเกรด เพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทน เร่งการเติบโตของวัวและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์และผู้ปลูกโกโก้
KEY
POINTS
- LOCOL ฟู้ดเทคสตาร์ตอัป พัฒนาอาหารเสริมสำหรับวัวจากผลโกโก้ตกเกรด ช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทน
- ผลิตภัณฑ์ช่วยให้วัวเติบโตเร็วขึ้น ลดระยะเวลาการเลี้ยง ทำให้ประหยัดต้นทุนค่าอาหารได้ประมาณ 300 ดอลลาร์ต่อวัวหนึ่งตัว
- นวัตกรรมนี้เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากเศษเหลือในอุตสาหกรรมโกโก้ และช่วยให้เกษตรกรสามารถสร้างแบรนด์ฟาร์มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้
“วัวตดทำให้โลกร้อน แต่เกษตรกรไม่สนใจ เมื่อเทียบว่าทำอย่างไรให้ราคาวัวดีขึ้น หรือทำอย่างไรจะลดต้นทุนอาหารได้มากขึ้น นี่ก็คือเพนพอยต์ที่เราได้เจอมา”
คำบอกเล่าจากการลงพื้นที่ของ LOCOL ฟู้ดเทคสตาร์ตอัปที่ค้นคว้าพัฒนานวัตกรรมอาหารเสริมสำหรับวัวจากผลโกโก้ตกเกรด เพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทน เร่งการเติบโตของวัวและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์และผู้ปลูกโกโก้
ปัจจุบันมีวัวประมาณ 800 กว่าตัวทั่วประเทศที่ใช้ผลิตภัณฑ์นี้แล้ว บริษัทมีเป้าหมายขยายตลาดไปให้ทั่วประเทศ และหลังจากนั้นจะขยายไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หยิบงานวิจัยสร้างเศรษฐกิจ
หทัยธนิต ธงทอง Co-founder and CSO of LOCOL กล่าวว่า ในอุตสาหกรรมโกโก้มีเศษเหลือที่ตกเกรดสูงถึง 60% เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่เอื้ออำนวย
อีกด้านหนึ่งคือปัญหาของวงการปศุสัตว์ที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากวัว ขณะที่มีงานวิจัยระบุว่าโกโก้มีสารสำคัญที่สามารถช่วยลดมีเทนได้ แต่ยังไม่เคยมีใครนำความรู้นั้นมาสู่การปฏิบัติจริง
LOCOL ประกอบด้วยสมาชิกที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านวัวจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มีทีมผู้เชี่ยวชาญที่ทำวิจัยเกี่ยวกับโกโก้มา 15 ปีแล้ว
รวมถึงทีมจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ ทั้ง business, technology และ sustainability ในการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยใช้ 2 ส่วนหลักจากโกโก้ คือ ส่วนที่เป็นเปลือกและส่วนผลที่ตกมาตรฐาน มาอยู่ในส่วนผสมที่เป็น “เทรด ซีเครต”
สิ่งที่ทำให้นวัตกรรมนี้โดดเด่นคือการผสานเทคโนโลยี AI เข้ามาในกระบวนการจัดเก็บข้อมูลการเลี้ยงดูวัวผ่านแอปพลิเคชัน LINE ซึ่งจะช่วยให้ข้อมูลสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ (traceability)
เกษตรกรสามารถบันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น วัวกินเท่าไร หลับกี่ชั่วโมง อาหารที่ให้เป็นอย่างไร ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปวิเคราะห์และในอนาคตสามารถใช้เพื่อเคลมคาร์บอนเครดิตได้
ปัจจุบันบริษัทกำลังมองหานักลงทุน โดยมีเป้าหมายขาย B2C และ B2B ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ 2 รูปแบบ คือ premix (ผงสำเร็จรูป) และ big block (ก้อนวัวเลีย)
กลยุทธ์คือเริ่มจากฟาร์มขนาดใหญ่เพื่อสร้าง success case จากนั้นค่อยขยายไปยังเกษตรกรรายย่อย ซึ่งในขณะนี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐหลากหลายทุน
ผลิตภัณฑ์นี้ให้ประโยชน์แก่เกษตรกรหลายด้าน
ประการแรก สามารถลดระยะเวลาการเลี้ยงวัวจาก 15 เดือนเหลือ 12 เดือน ซึ่งหมายถึงการประหยัดต้นทุนอาหาร 3 เดือน ประมาณ 300 ดอลลาร์ต่อวัวหนึ่งตัว
ประการที่สอง เกษตรกรจะเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยโลกโดยสามารถสร้าง branding สร้าง reputation ได้ถึงความเป็น green สามารถบอกว่าเป็นฟาร์มที่รักโลกได้
"ในตลาดมีสินค้าลดก๊าซมีเทนคล้ายกันแต่เป็นสาหร่ายทะเลแดง ที่ต้องปลูกขึ้นมาใหม่ จึงมีต้นทุนสูงและราคาสูงมาก อีกทั้งมีคุณสมบัติเฉพาะเพื่อลดมีเทนเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนที่ช่วยให้วัวโตไวขึ้น”
LOCOL ได้รับการยอมรับในระดับสากลอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้เข้าร่วมในโครงการ Hult Prize 2025 ที่ประเทศอังกฤษ โดยเข้าสู่โปรแกรม accelerator หลังจากผ่านการอบรมออนไลน์หนึ่งเดือน
ทีมได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 20 ทีมสุดท้าย ได้ไปประเทศอังกฤษเป็นเวลาหนึ่งเดือน และได้นำเสนอผลงานที่ Google Headquarters ในลอนดอน
แม้จะไม่ได้รางวัลที่หนึ่ง (ซึ่งมีมูลค่า 35 ล้านบาท) แต่การได้เป็นตัวแทนประเทศไทยในเวทีระดับโลกถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญอย่างยิ่ง
SPACE-F ปี 6 ตอบโจทย์ความท้าทาย
LOCOL เป็นหนึ่งในสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีอาหารใน “SPACE-F ปี 6” โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของธุรกิจเทคโนโลยีอาหารระดับสากล ผสานพลังความร่วมมือจากพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนรายใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหารภายใต้มาตรฐานสากล
ตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกสตาร์ตอัปการบริหารจัดการเครือข่ายพันธมิตร ไปจนถึงการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการได้ทดสอบแนวคิดกับองค์กรระดับโลก
ทุกปีจะมีผู้สมัครกว่า 140 ทีม จากทั้งในประเทศและต่างประเทศสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ และคัดเลือกเพียง20 ทีมที่เป็น Top 15% ของตลาด เพื่อเข้าร่วมพัฒนาโมเดลธุรกิจ
และเพิ่มความน่าเชื่อถือผ่านการทำงานร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ช่วยให้สตาร์ตอัปได้รับการเชื่อมโยงกับนักลงทุนไทยและต่างประเทศ
ในช่วง 6ปีที่ผ่านมา SPACE-F สามารถสร้างผลลัพธ์ที่โดดเด่นด้วยการส่งเสริมระบบนิเวศฟู้ดเทคสตาร์ตอัปไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งการระดมทุนรวมกว่า 5,068 ล้านบาท
และการสนับสนุนสตาร์ตอัปกว่า 100 รายจาก 18 ประเทศทั่วโลก ให้สามารถพัฒนาธุรกิจและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความท้าทายในปัจจุบัน เพื่อตอกย้ำความเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีอาหารของประเทศไทยในเวทีโลก" กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) กล่าว







