วัฒนธรรมองค์กร: เข็มทิศที่ซ่อนอยู่ของบริษัทไทย

เวลาเดินเข้าไปในออฟฟิศขององค์กรใหญ่ๆ เรามักเห็นคำสวยหรูติดอยู่บนผนัง อาทิ เช่น Innovation, Integrity, Teamwork ดูไปก็เหมือนประโยคสร้างแรงบันดาลใจที่วางไว้สวย ๆ แปะผนังไว้เพื่อการตลาด
และความสวยงามเท่านั้น แต่คำถามที่สำคัญคือ คำสวยหรูติดผนังเหล่านี้ตามองค์กรใหญ่ๆ เป็นเพียงแค่ “สโลแกน” หรือ เป็น “ความจริง” ที่หล่อหลอมชีวิตประจำวันของคนในองค์กรนั้นจริงๆ บทความนี้นำเสนอคำตอบในเรื่องนี้จากมุมมองของนักวิชาการ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ
สำหรับในทางวิชาการ นั้น “วัฒนธรรมองค์กร” ไม่ใช่เรื่องของการตกแต่งสวยหรูเพื่อการตลาด หากแต่มันคือ ดีเอ็นเอ (DNA) ที่มองไม่เห็นขององค์กร เป็นบรรทัดฐานภายในองค์กรที่กำหนดว่าผู้บริหารจะมีตัดสินใจอย่างไร พนักงานจะรับมือกับปัญหาแบบไหน และบริษัทจะอยู่รอดยั่งยืนหรือไม่
หากองค์กรมีวัฒนธรรมที่เปรียบเสมือนกำแพงสูง ปิดกั้นไอเดียใหม่และยึดติดกับความสำเร็จเดิม ๆ องค์กรนั้นๆ ก็จะไม่ต่างจากเรือลำใหญ่ที่ไม่สามารถฝ่าคลื่นลมเศรษฐกิจโลกได้ทันท่วงที วัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งจึงเป็นเสมือนระบบภูมิคุ้มกัน ที่นำพาให้องค์กรก้าวผ่านวิกฤติต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างเช่น ในวันที่โรคระบาดโควิด-19 องค์กรที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลงและมีวัฒนธรรมการเรียนรู้ สามารถปรับตัวไปสู่การทำงานแบบออนไลน์และการบริการดิจิทัลได้ทันเวลา สามารถสู้กับวิกฤติโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อาทิเช่น MUJI เปิดร้านค้าออนไลน์แห่งแรกบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Lazada หรือ แบรนด์คาเฟ่ร้านเบเกอรีชื่อดัง After You เน้นขายเดลิเวอรีไปจนถึงการออกบูทขายสินค้าและป๊อบอัพสโตร์กระจายตามหัวเมืองใหญ่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เป็นต้น
ในขณะที่อีกหลายๆ องค์กรที่ยึดติดกับวิถีการทำธุรกิจแบบเดิม ๆ กลับสะดุดจนถึงขั้นล้มละลาย อาทิเช่น การบินไทย นกสกู๊ต และวุฒิศักดิ์คลินิก เป็นต้น
ดังนั้น คำถามที่สำคัญในวันนี้ไม่ใช่เพียงว่าบริษัททำกำไรได้เท่าไร แต่คือ บริษัทมีวัฒนธรรมองค์กรแบบไหน เพราะในระยะยาว นี่คือปัจจัยที่จะชี้ชัดว่าองค์กรจะอยู่รอดอย่างยั่งยืนได้จริงหรือไม่
๐ งานวิจัยใหม่: วัฒนธรรมนวัตกรรมช่วยยกระดับ ESG
ผลการศึกษาล่าสุดจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยเวิสเทิรน์ออสเตรเลีย ที่เก็บข้อมูลบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกว่า 700 แห่งในช่วง 20 ปี พบว่า บริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรเชิงนวัตกรรมสูง มักทำผลงาน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) ได้ดีกว่าบริษัททั่วไป
พูดให้ง่ายกว่านั้นก็คือ องค์กรที่เปิดพื้นที่ให้พนักงานคิดใหม่ทำใหม่ มักจะไม่ใช่แค่ “ทำกำไร” แต่ยัง “ทำเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม” ไปพร้อมกัน
ผลวิจัยบอกว่า หากระดับวัฒนธรรมนวัตกรรมเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย คะแนน ESG ของบริษัทอาจกระโดดขึ้นถึง 25% ซึ่งถือว่าสูงมากในเชิงเศรษฐมิติ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะนวัตกรรมคือกลไกที่ผลักให้องค์กร “มองไกลกว่าไตรมาสหน้า”
บริษัทกล้าที่จะลงทุนในเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน สร้างระบบตรวจสอบแรงงานที่โปร่งใส หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนกว่า และสิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาเป็นคะแนน ESG ที่จับต้องได้จริง
๐ เทรนด์ต่างประเทศ: บทเรียนที่ไทยควรมอง
บนเวทีโลกก็มีตัวอย่างองค์กรหลายแห่งที่มีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง สามารถนำพาองค์กรให้พัฒนาได้อย่างยั่งยืน ตัวอย่างเด่น ๆ ได้แก่
ยูนิลีเวอร์ (Unilever) แสดงให้เห็นว่านวัตกรรมสามารถเป็นพลังขับเคลื่อนความยั่งยืนได้จริง บริษัทให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตั้งแต่การใช้จุลชีพและชีววิทยาสมัยใหม่ ไปจนถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ลดการพึ่งพาพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง
ความก้าวหน้าเหล่านี้ไม่เพียงตอบโจทย์ผู้บริโภค แต่ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทาน เมื่อผสานนวัตกรรมเข้ากับเป้าหมายด้าน ESG ยูนิลีเวอร์จึงได้รับการยอมรับในฐานะหนึ่งในองค์กรที่ผู้บริโภคทั่วโลกไว้วางใจมากที่สุดด้านความยั่งยืน
เทสลา (Tesla) มุ่งขับเคลื่อนโลกสู่พลังงานสะอาด ผลลัพธ์คือการช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากการเดินทางและการผลิตพลังงานแบบดั้งเดิม ควบคู่ไปกับการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและจัดการของเสียอย่างยั่งยืน ทำให้ Tesla กลายเป็นสัญลักษณ์ของนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ไทยอยู่ตรงไหนบนเวทีโลก?
ถ้าเทียบระดับประเทศ ไทยถือว่ามีความก้าวหน้าไม่น้อย จากรายงานการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดย ศาสตราจารย์ Sachs และทีมวิจัย พบว่า คะแนน SDG ในปี ค.ศ. 2023 และ 2025 ไทยอยู่อันดับที่ 43 และครองอันดับหนึ่งในอาเซียนด้านความยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 7
ขณะเดียวกัน หากเปรียบเทียบกับประเทศในเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ ไทยอยู่ในอันดับที่ 3 รองจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
ความก้าวหน้านี้ส่วนหนึ่งสะท้อนว่า องค์กรไทยจำนวนไม่น้อยได้นำนวัตกรรมมาปรับใช้ ตั้งแต่การพัฒนาพลังงานสะอาด บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก ไปจนถึงการใช้ดิจิทัลในการตรวจสอบความโปร่งใส ในตลาดทุนเอง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้พัฒนา ดัชนี SETTHSI และระบบ ESG Ratings
เพื่อสนับสนุนให้บริษัทไทยเข้าสู่มาตรฐานโลกจนหลายบริษัท เช่น SCG, ปตท., ไทยยูเนี่ยน และบางจาก ยังคงได้รับการยอมรับในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าบริษัทไทยกำลังก้าวขึ้นมาอยู่ “แถวหน้า” ของภูมิภาคเอเชีย ในด้านของความยั่งยืน
บทสรุป: วัฒนธรรมคือเงื่อนไขการอยู่รอด
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า วัฒนธรรมองค์กรไม่ใช่แค่คำคมบนฝาผนัง แต่คือเข็มทิศที่กำหนดอนาคตของบริษัท และในยุคที่ความยั่งยืนไม่ใช่ “ทางเลือก” แต่คือ “เงื่อนไขการอยู่รอด” องค์กรที่มี DNA ของนวัตกรรมย่อมมีศักยภาพในการแข่งขันมากกว่า ทั้งในตลาดไทยและเวทีโลก
คำถามที่อยากทิ้งไว้กับผู้อ่านคือ บริษัทที่คุณลงทุนอยู่ หรือแม้กระทั่งบริษัทที่คุณทำงานอยู่ มี DNA ของนวัตกรรมจริงหรือเป็นเพียงคำพูดสวยหรู? เพราะสุดท้ายแล้ว นี่แหละคือสิ่งที่จะบอกว่าองค์กรจะยืนระยะได้หรือไม่ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนทุกวัน







