กระแสหุ่นยนต์จีน หนุน Orbbec ผู้ผลิตกล้อง 3D สู่บริษัทพันล้านดอลลาร์

Orbbec ผู้ผลิตกล้อง 3 มิติจากเซินเจิ้น ก้าวขึ้นเป็นบริษัทมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากกระแสการลงทุนในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ของจีน
KEY
POINTS
- Orbbec ผู้ผลิตกล้อง 3 มิติจากเซินเจิ้น ก้าวขึ้นเป็นบริษัทมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากกระแสการลงทุนในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ของจีน
- เทคโนโลยีกล้อง 3 มิติของบริษัททำหน้าที่เปรียบเสมือนดวงตาให้กับเครื่องจักร ทำให้หุ่นยนต์สามารถรับรู้ความลึกและเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ
- ราคาหุ้นของ Orbbec พุ่งสูงขึ้นกว่า 315% ในรอบปี ทำให้ผู้ก่อตั้งอย่าง ฮาวเวิร์ด ฮวง กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์
หากพูดถึงคำว่าหุ่นยนต์ หลายคนอาจจินตนาการถึงตัวละครในภาพยนตร์ไซไฟที่เดิน พูด และโต้ตอบกับมนุษย์ได้เหมือนจริง แต่ในประเทศจีน วันนี้สิ่งที่เคยเป็นภาพในหนังกำลังค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็น “ธุรกิจจริง” ที่มีการลงทุนมหาศาล ทั้งจากภาครัฐและบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
และสิ่งหนึ่งที่ทำให้หุ่นยนต์สามารถเคลื่อนไหวและตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวได้ใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น คือ “การมองเห็นโลกแบบสามมิติ” ผ่านเทคโนโลยีกล้อง 3 มิติที่ทำให้เครื่องจักรรับรู้ระยะ ความลึก และตำแหน่งของวัตถุได้เหมือนดวงตาของมนุษย์
เบื้องหลังเทคโนโลยีนี้ มีบริษัทหนึ่งจากเซินเจิ้นที่กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในตลาดทุนจีน นั่นคือ Orbbec บริษัทผู้พัฒนากล้อง 3 มิติ ที่วันนี้ไม่เพียงแค่มีบทบาทในระบบชำระเงินด้วยใบหน้า แต่ยังกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในหุ่นยนต์หลากหลายประเภท ตั้งแต่หุ่นทำความสะอาดไปจนถึงหุ่นยนต์ฮิวมานอยด์ที่กำลังได้รับความนิยมในจีน
ผู้ก่อตั้งบริษัทคือ ฮาวเวิร์ด ฮวง (Howard Huang) วิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดเชิงแสงวัย 45 ปี ที่เริ่มต้นเส้นทางจากงานวิจัยเชิงวิชาการ ก่อนจะตัดสินใจสร้างธุรกิจขึ้นมา และวันนี้จากการทะยานขึ้นของราคาหุ้น Orbbec กว่า 315% ในรอบปีเดียว ทำให้เขาก้าวขึ้นสู่การเป็นมหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์ตามการรายงานของ Forbes
ภาพการแข่งขันหุ่นยนต์โอลิมปิกที่ปักกิ่ง
กล้อง 3 มิติ ‘ดวงตา’ ของเครื่องจักร
ฮวงไม่ได้มาจากสายธุรกิจตั้งแต่แรก เขาเติบโตมาในเส้นทางวิชาการ จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ต่อด้วยปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยซิตี้แห่งฮ่องกง ก่อนจะไปเป็นนักวิจัยหลังปริญญาเอกที่โครงการโครงการพันธมิตรวิจัยสิงคโปร์-เอ็มไอที (Singapore-MIT Alliance for Research and Technology: SMART)
ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการวัดเชิงแสง เขาเห็นว่าการวิจัยหลายอย่างยังติดอยู่ในห้องแล็บ ไม่ได้ถูกนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน จึงตัดสินใจก่อตั้งบริษัท Orbbec ที่เมืองเซินเจิ้นในปี 2013 เพื่อเปลี่ยนความรู้ทางวิศวกรรมให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตลาดต้องการ
สิ่งที่ Orbbec พัฒนาคือ กล้อง 3 มิติ (3D vision camera) ซึ่งทำงานคล้ายดวงตาของมนุษย์ สามารถรับรู้ความลึกและระยะของวัตถุ ไม่ใช่แค่ภาพสองมิติแบบกล้องทั่วไป การมี “การมองเห็นเชิงลึก” ทำให้หุ่นยนต์สามารถเดินหลบสิ่งกีดขวาง หยิบจับวัตถุ หรือปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมได้อย่างแม่นยำ
เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ระบบจ่ายเงินแบบไม่ต้องสัมผัส การสแกนชิ้นงานในโรงงาน ไปจนถึงหุ่นยนต์บริการในร้านอาหาร โรงพยาบาล และคลังสินค้า
จาก Alipay สู่สมาร์ตโฟน
ปี 2017 ถือเป็นก้าวสำคัญของ Orbbec บริษัทได้สัญญากับ Ant Group ยักษ์ใหญ่ฟินเทคที่อยู่เบื้องหลัง Alipay ให้นำกล้อง 3 มิติไปฝังในระบบจ่ายเงินด้วยการสแกนใบหน้า ระบบนี้ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีใหม่ แต่กลายเป็นหนึ่งในวิธีการชำระเงินที่แพร่หลายที่สุดในจีน
เนื่องจากผู้คนนับล้านใช้ Alipay ในชีวิตประจำวันเพื่อซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ หรือแม้แต่ร้านกาแฟ การที่กล้อง 3 มิติของ Orbbec ถูกนำไปใช้ในแพลตฟอร์มนี้ ทำให้เทคโนโลยีของบริษัทกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันของผู้บริโภคทันที
หนึ่งปีถัดมา Orbbec ก็ร่วมกับผู้ผลิตสมาร์ตโฟน Oppo เปิดตัวสมาร์ตโฟนแอนดรอยด์เครื่องแรกของโลกที่มีระบบยืนยันใบหน้าแบบ 3 มิติ ซึ่งออกสู่ตลาดเพียงเจ็ดเดือนหลังจาก Apple เปิดตัว iPhone ที่มี Face ID ในปี 2017
เหตุการณ์ทั้งสองให้ Orbbec ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เล่นที่สามารถท้าทายยักษ์ใหญ่ในตลาดโลกได้ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้นักลงทุนและพันธมิตรเริ่มหันมาจับตามอง
ขาดทุนสู่กำไร พลิกฟื้นธุรกิจ
แม้ชื่อเสียงจะผูกติดกับกระแสหุ่นยนต์ แต่ในเชิงรายได้จริง Orbbec ยังพึ่งพาตลาดกล้อง 3 มิติสำหรับระบบยืนยันตัวบุคคลเป็นหลัก
ในครึ่งแรกของปี 2025 บริษัทประกาศ กำไรสุทธิ 30 ล้านหยวน (ราว 4 ล้านดอลลาร์) พลิกจากขาดทุนสุทธิ 81 ล้านหยวนในช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้รวมเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเป็น 436 ล้านหยวน โดย 62% มาจากโมดูลที่ใช้ในระบบสแกนใบหน้าสำหรับค้าปลีกและประกันสุขภาพ
Ant Group ไม่เพียงเป็นลูกค้าหลัก แต่ยังถือหุ้นราว 9% ใน Orbbec ผ่านบริษัทย่อย Shanghai Yunxin Venture Capital ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองบริษัทแนบแน่นทั้งในฐานะคู่ค้าและนักลงทุน
ขยายสู่หุ่นยนต์
Orbbec ขยายตัวเข้าสู่ตลาดหุ่นยนต์มากขึ้น รายได้ 31% ในครึ่งแรกปี 2025 มาจากหุ่นยนต์ โดยเฉพาะหุ่นบริการที่ใช้ในโรงแรม ร้านอาหาร โรงพยาบาล และคลังสินค้า
ลูกค้าสำคัญ ได้แก่ Pudu Robotics และ Gausium ผู้พัฒนาหุ่นทำความสะอาด, Robocare บริษัทหุ่นดูแลผู้ป่วย และ Twinny จากเกาหลีใต้ ผู้ผลิตหุ่นยนต์คลังสินค้า Orbbec อ้างว่ามีส่วนแบ่งตลาดกล้อง 3 มิติสำหรับหุ่นบริการในจีนมากกว่า 70%
นอกจากนี้ บริษัทเริ่มมีลูกค้าในกลุ่ม หุ่นยนต์ฮิวมานอยด์ เช่น Tiangong Ultra ของ X-Humanoid และ Ubtech รวมถึงหุ่นยนต์ R1 ของ Ant Lingbo Technology หรือ “Robbyant” ที่เพิ่งเปิดตัวในเดือนกันยายน
เพื่อต่อยอดการเติบโต Orbbec ประกาศในเดือนกันยายนว่าจะระดมทุนสูงสุด 1.9 พันล้านหยวนผ่านการขายหุ้นเพิ่มทุนแบบ private placement เงินทุนนี้จะถูกนำไปใช้กับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี “AI vision และ spatial perception” รวมถึงการสร้างชิปและซอฟต์แวร์ใหม่ เพื่อทำให้หุ่นยนต์สามารถจำลองการมองเห็นของมนุษย์ได้สมจริงยิ่งขึ้น
บริษัทตั้งเป้าว่ารายได้จากหุ่นยนต์จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 100% ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งหากเป็นจริง Orbbec จะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์โลก
ราคาหุ้นพุ่งและการก้าวสู่สถานะมหาเศรษฐี
แรงหนุนจากกระแสหุ่นยนต์ในจีน ทำให้ราคาหุ้น Orbbec ในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้พุ่งขึ้นกว่า 315% ในรอบปี ส่งผลให้มูลค่าตลาดแตะ 5.2 พันล้านดอลลาร์ และทำให้ ฮวง ซึ่งถือหุ้นโดยตรง 27% มีทรัพย์สินสุทธิราว 1.4 พันล้านดอลลาร์ ตามการประเมินของ Forbes
จากวิศวกรในแล็บวิจัย วันนี้เขากลายเป็นหนึ่งในนักธุรกิจพันล้านดอลลาร์ของจีน ท่ามกลางสายตาจับตามองของทั้งนักลงทุนและอุตสาหกรรมโลก
อย่างไรก็ตาม แม้ภาพลักษณ์ของ Orbbec จะถูกผูกเข้ากับ “หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์” ที่กำลังได้รับความสนใจในจีน แต่ในความเป็นจริง ตลาดนี้ยังไม่เข้าสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ ธุรกิจหลักยังคงมาจากระบบสแกนใบหน้าและการยืนยันตัวบุคคล ซึ่งเป็นฐานรายได้ที่มั่นคงกว่า
ดังนั้น ความท้าทายของ Orbbec จึงอยู่ที่การรักษาสมดุลระหว่างการลงทุนในอนาคตที่ยังไม่แน่นอน กับการสร้างรายได้จากธุรกิจที่พิสูจน์แล้ว เพื่อไม่ให้การเติบโตที่บริษัทตั้งเป้าไว้กลายเป็นเพียงความคาดหวังที่ไม่เกิดขึ้นจริง
อย่างไรก็ตาม ในบทสัมภาษณ์กับมหาวิทยาลัยซิตี้แห่งฮ่องกงเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ฮวงทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่สะท้อนเป้าหมายของเขาอย่างชัดเจนว่า “ปีนยอดเขาที่สูงที่สุดในช่วงเวลาที่ดีที่สุด และเผชิญความท้าทายในอุตสาหกรรมที่ล้ำสมัยที่สุด การมีอิทธิพลในระดับโลกในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ นั่นคือยอดเขาสูงสุดที่เราตั้งใจจะพิชิต”







