ไบโอเมตริกซ์ เทคโนโลยีแห่งการพิสูจน์ยืนยันตัวตนจากเนคเทค

ถ่ายทอดความสำเร็จการพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยียืนยันตัวตน ตอบโจทย์บริการสาธารณสุขและการแพทย์จากเนคเทค สวทช.
KEY
POINTS
- เนคเทค สวทช. พัฒนาระบบสแกนลายม่านตาที่เริ่มใช้ยืนยันตัวตนแรงงานต่างด้าวนอกระบบ เพื่อรับวัคซีนโควิด-19 และปัจจุบันได้ขยายผลให้โรงพยาบาลใช้เก็บข้อมูลเพื่อการรักษาพยาบาล
- เทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์มีแนวโน้มจะถูกนำไปใช้ในงานบริการมากขึ้นในอนาคต เช่น การวิเคราะห์อารมณ์ความรู้สึกของลูกค้าจากใบหน้าหรือน้ำเสียง
- มีการประยุกต์ใช้ไบโอเมตริกซ์ในแวดวงอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากการยืนยันตัวตน เช่น การพิสูจน์เสียงจริงเทียบกับเสียงสังเคราะห์โดย AI ในกระบวนการทางศาล และการระบุตัวตนในธุรกิจสัตว์เลี้ยง
ย้อนกลับไปในช่วงวิกฤติโควิด-19 กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบช่วยให้แรงงานต่างด้าวนอกระบบในไทยได้รับวัคซีนโควิด-19 ตามหลักมนุษยธรรมภายใต้การดูแลจากสภากาชาด
ล่าสุดได้ขยายผลการใช้งานอย่างแพร่หลาย เมื่อกระทรวงสาธารณสุขออกประกาศเมื่อปลายปี 2567 ให้โรงพยาบาลจะต้องเก็บข้อมูลลายม่านตาของแรงงานต่างด้าวในประเทศไทยที่จะเข้ารับบริการทางการแพทย์
โดยอ้างอิงระบบยืนยันตัวตนผ่านลายม่านตาที่เนคเทคพัฒนาให้กับสภากาชาด จึงตอกย้ำเส้นทางการพัฒนาเทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์ของทีมวิจัยเนคเทค สวทช.
ย้อนไปในช่วงที่โควิด-19 ระบาด แรงงานต่างด้าวแม้จะไม่ขึ้นทะเบียนถูกกฎหมายแต่ก็จำเป็นต้องได้รับวัคซีน แต่ไม่กล้าไปโรงพยาบาลจึงเป็นหน้าที่ของสภากาชาดที่เข้ามาดูแลตามหลักมนุษยธรรม
และเพื่อให้การยืนยันมั่นใจว่าสามารถทำมาหาเลี้ยงชีพได้อย่างปลอดภัย จึงต้องไม่มีการเก็บบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ ที่อยู่ แต่การรับวัคซีนจะต้องรับเป็นโดสๆ ที่เว้นระยะห่าง จึงต้องมีการออกแบบระบบยืนยันตัวตนเป็นกรณีพิเศษ
ก่อนหน้านี้ สภากาชาดใช้การยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้า แต่พบความไม่แม่นยำจากญาติพี่น้องและฝาแฝดที่ใบหน้าคล้ายกัน จึงปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบสแกนลายม่านตาในการยืนยันตัวบุคคล และใช้อยู่จนถึงปัจจุบันโดยทางเนคเทค สวทช.เป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม
สถานการณ์ล่าสุดได้ขยายผลการใช้แพลตฟอร์มของ สวทช. เมื่อกรมควบคุมโรคเห็นว่ามีศักยภาพที่สามารถใช้กับแรงงานถูกกฎหมายสำหรับติดตามการรักษาผู้ป่วยโรคติดต่อที่จำเป็นต้องรักษาต่อเนื่อง เช่น วัณโรค
จึงนำแพลตฟอร์มไปขยายผลใช้กับโรงพยาบาลนำร่อง 6-7 แห่งจนกระทั่งทุกวันนี้ และนับเป็นความสำเร็จในการพัฒนาร่วมกันระหว่างสภากาชาด กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขและเนคเทค
ดร.เจษฎา กาญจนะ นักวิจัยเนคเทค กล่าวว่า ภาพรวมในอนาคตของเทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์ไม่ได้ใช้แค่การยืนยันตัวตนเท่านั้น แต่จะนำไปใช้ในงานบริการมากขึ้น
โดยเฉพาะการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าหรือผู้รับบริการ เช่น การพัฒนาระบบให้อยู่ในตู้คีออสเพื่อสแกนวิเคราะห์ใบหน้าหรือน้ำเสียง ซึ่งถือเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งของไบโอเมตริกซ์สำหรับดูอารมณ์ความรู้สึกขณะใช้บริการ
นอกจากนี้ยังพบความต้องการใช้เทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์ในกระบวนการทางศาลด้วย โดยเฉพาะการตรวจสอบพิสูจน์เสียงว่าเป็นเสียงคนจริงหรือเสียงเอไอสังเคราะห์
แม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีที่กล้ารับรองได้ 100% ขณะที่ในการพิสูจน์จะกระทำผ่านโมเดล 7-8 ตัว แล้วรายงานออกมาว่าแต่ละโมเดลให้คะแนนเสียงจริงเท่าใดและคะแนนเสียงสังเคราะห์เท่าใด โดยไม่มีการยืนยัน 100%
อีกหนึ่งเทรนด์การใช้งานที่น่าสนใจคือ การใช้ไบโอเมตริกซ์กับธุรกิจสัตว์เลี้ยงรวมทั้งในงานวิจัยศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ แทนการติดแท็กที่สามารถหลุดหายหรือทำให้สัตว์บาดเจ็บได้
ในอนาคต การใช้งาน Biometric อาจเป็นการผสมผสานกันระหว่างข้อมูลลายนิ้วมือกับเสียงพูด หรือใบหน้ากับลายม่านตา ซึ่งอาจจะไม่ใช้เพียงข้อมูลการยืนยันตัวตนเดียวเฉกเช่นในปัจจุบันอย่างการสแกนใบหน้าเพียงอย่างเดียวในการทำธุรกรรมทางการเงิน
“ฐานข้อมูลชีวมิติของคนไทย”
ปัจจุบันเนคเทคอยู่ระหว่างการจัดทำฐานข้อมูล biometric คนไทย โดยเก็บข้อมูลจากอาสาสมัครรายบุคคล ณ วันที่ 30 มิ.ย.2568 ประมาณ 1,500 คน ที่กระจายตัวตามหลักการกระจายตัวของประชากร ซึ่งครอบคลุมทุกภูมิภาคและกลุ่มอายุ และอีก 1 เดือนข้างหน้าจะมีการเก็บข้อมูลเพิ่มอีก 300 คน จากเป้าหมายประมาณ 3,000 คน ในปี 2569
รูปแบบการใช้ Biometric
เทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์ (Biometric) คือการใช้ข้อมูลทางชีวภาพของบุคคลเพื่อยืนยันตัวตน ปัจจุบันถูกนำมาใช้ในหลายด้านเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและอำนวยความสะดวก
อุปกรณ์ส่วนบุคคล: การใช้ลายนิ้วมือหรือการสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อื่นๆ
การเงินและการธนาคาร: การยืนยันตัวตนเพื่อเข้าถึงบัญชีธนาคารหรือทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชัน
การเดินทางและการเข้าเมือง: ใช้ในการควบคุมการเข้า-ออก ณ สนามบิน, ตรวจสอบหนังสือเดินทาง และระบบ e-Gate เพื่อลดขั้นตอนและเวลาในการตรวจสอบ
การเข้าถึงอาคารและสถานที่: การใช้ลายนิ้วมือหรือใบหน้าเพื่อบันทึกเวลาทำงานและควบคุมการเข้า-ออกในองค์กรต่างๆ
ภาครัฐ: การเก็บข้อมูลไบโอเมตริกซ์ในบัตรประจำตัวประชาชนหรือหนังสือเดินทางเพื่อป้องกันการปลอมแปลงและยืนยันตัวตน
แนวโน้มในอนาคต
ในอนาคต เทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์จะก้าวหน้าไปอีกขั้นด้วยนวัตกรรมต่างๆ ที่จะทำให้การยืนยันตัวตนมีความปลอดภัยและสะดวกยิ่งขึ้น:
ไบโอเมตริกซ์แบบไร้สัมผัส : เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า การสแกนม่านตา และการจดจำเส้นเลือดที่ฝ่ามือจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเพื่อลดการสัมผัสโดยตรง โดยเฉพาะในยุคหลังการระบาดของโรคระบาดต่างๆ
ไบโอเมตริกซ์เชิงพฤติกรรม : นอกเหนือจากลักษณะทางกายภาพแล้ว ระบบจะเริ่มวิเคราะห์พฤติกรรมเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล เช่น จังหวะการพิมพ์คีย์บอร์ด ลักษณะการเดิน หรือวิธีการใช้เมาส์ เพื่อใช้ยืนยันตัวตนอย่างต่อเนื่องและเพิ่มความแม่นยำ
การบูรณาการกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) : AI จะช่วยเพิ่มความแม่นยำและความเร็วของระบบไบโอเมตริกซ์ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันการปลอมแปลง (Liveness Detection) เพื่อตรวจสอบว่าข้อมูลที่ป้อนเข้ามาเป็นข้อมูลของบุคคลจริงหรือไม่ เช่น การตรวจจับความผิดปกติของวิดีโอ Deepfake
ระบบยืนยันตัวตนแบบหลายรูปแบบ : การรวมเอาข้อมูลไบโอเมตริกซ์หลายประเภทเข้าด้วยกัน เช่น การสแกนใบหน้าควบคู่ไปกับการจดจำเสียง เพื่อสร้างระบบที่แข็งแกร่งและปลอดภัยยิ่งขึ้น
การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT : ไบโอเมตริกซ์จะถูกนำไปใช้ร่วมกับอุปกรณ์ Internet of Things (IoT) มากขึ้น เช่น การปลดล็อกประตูบ้านอัจฉริยะ หรือการตรวจสอบสุขภาพผ่านอุปกรณ์สวมใส่







